Saturday, December 30, 2006

Fit for Buffaloes??

In the news from the Nation:

......................

AEC REPORT :Ua Athorn land 'fit for buffaloes'

Land bought for the Ua Athorn low-cost housing project is fit only for buffaloes, the Assets Examination Committee (AEC) said yesterday.

"The operators of the housing project bought the type of land that you find only buffaloes walk on. No human can live there,'' AEC secretary Kaewsan Atibodhi said.

Kaewsan and AEC spokesman Sak Korsaengruang were briefing the press on the progress made after three months of investigations into 13 cases related to the previous Thaksin administration.

Kaewsan said the AEC promised to have "answers for society" on some of the cases within six months of its establishment.

He added that with some projects such as Ban Ua Arthorn, the AEC may need more time because it involved 181 housing projects and may have cost the state Bt1.4 billion in damages.

.........................

....Interestingly, what does Kaewsan means by "buffaloes", animals or humans (who bought the houses)?

Tuesday, December 26, 2006

กลับมา Oxford อีกครั้ง

อะฮ้า

รายงานตัวครับ! ที่ผ่านมาพอปิดเทอมปุ๊ป ก็หนีกลับเมืองไทยปั๊ป

แม้ว่าจะมี Essay ชิ้นสำคัญต้องทำช่วงปิดเทอม แต่ก็กะว่าจะไปทำที่เมืองไทย

เอาเข้าจริงก็ม่ายหวาย....

สมกับที่มีรุ่นพี่สุดเก๋าเคยเตือนไว้ว่า "คิดว่าจะทำงานที่บ้านได้เรอะ ฮึ ฮึ"

คงต้องตอบกลับไปว่า "ไม่ได้จริงๆด้วย (ว่ะ)"

ตอนแรกว่าจะอยู่เมืองไทยถึง 15 มกรา แต่อยู่ดีๆก็มีคนจากทุนที่เคยสมัครไว้ในต่างประเทศติดต่อจะมาขอสัมภาษณ์ช่วงหลังปีใหม่แป๊ปนึง ก็เลยต้องอพยพกลับมา Oxford

ทั้งนี้ก็ตั้งใจว่าจะกลับมาเร็วหน่อยเพื่อปั่น Essay ให้เสร็จ

...................

มาอยู่นี่ก็เริ่มประสบภาวะเหงา

เพราะช่วงนี้ไม่มีเรียน และก็ไม่มีใครอยู่แถวนี้เท่าไหร่

อากาศก็มืดครึ้มทั้งวัน เช้ากว่าจะมีแสงบ้างนิดหน่อยก็เกือบเก้าโมง พอสี่โมงเย็นก็มืด อารายวะเนี่ย หดหู่ๆ

วันๆได้แต่หมกตัวอยู่ในห้องทำ essay

โอ้วๆๆๆๆ มายยยยยย ก็อดดดดด

เสียจิต -_-' จริงๆ

..................

จะว่าไปกลับไปเมืองไทยครานี้ก็มีเรื่องน่าประทับใจเยอะ

กลับไปไม่นานก็ได้ไปสัมมนา TDRI ที่พัทยา ได้ไปนั่งคุยเล่นกับเพื่อนๆอาจารย์อีกครั้ง ไปเดินเล่นชายหาดกับ พี่หมู พี่ป้อง และที่สำคัญได้ไปกินข้าวข้างๆอ.อัมมาร์ (สยามวาลา) ด้วย อ.โคตรใจดีเลย ประทับใจๆ

ช่วงอาทิตย์ที่สองก็ได้เจอกับไอ้เฉียด เพื่อนสนิทที่เคยมาอยู่อังกฤษด้วยกันสมัยวชิราวุธ ไม่ได้เจอมันตั้งนานหลายปี อยู่ดีๆมันโทรมาอวยพรวันเกิด เลยได้คุยกันอีกครั้ง คิดถึ้ง คิดถึง ครั้งที่แล้วมาอยู่อังกฤษก็อยู่กับมันเนี่ยล่ะทั้งปี นับว่าเป็นคนที่เปลี่ยนชีวิตเราไปจากเดิม (ในทางที่ดี) มากทีเดียว

อาทิตย์สุดท้ายก็ได้ใช้เวลากับพ่อ แม่ และน้องเต่ายักษ์ ได้กินข้าวด้วยกันบ่อยๆ โอ้ว! ครอบครัวอบอุ่นๆๆๆ ดีใจจริงที่ได้เกิดมาอยู่ครอบครัวนี้

โอ้ที่น่าประทัยใจอีกอย่าง คือได้เล่น XBOX360 กับคุณน้องเต่ายักษ์ ที่แม่้จะชัวโมงบินสูงกว่า แต่ก็พ่ายแพ้ FIFA2006 ให้กับเรา ฮ่าๆๆๆ เปล่าหรอก จริงๆประทับใจเพราะนึกถึงสมัยเด็กๆที่เคยเล่นเกมส์ด้วยกันต่างหาก ตั้งแต่อยู่มหาลัยมาก็ไม่ได้เล่นด้วยกันแล้ว มาได้เล่นอีกครั้งก็คราวนี้ล่ะ

คิดไปแล้วก็คิดถึงบ้านนะเนี่ย

แต่ก็เอาวะ กลับมาแล้ว ก็สู้ต่อ ทำ Essay ของเราต่อไป

..................

Friday, November 24, 2006

รัฐประหารบล็อคต่ายน้อย



คำสั่งคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 1

คำสั่ง หัวหน้าคณะปฏิรูปบล็อคกระต่ายน้อย
ฉบับที่ 1/2549
เรื่อง ขอความร่วมมือในการ Post Comment
.....................................................................

ตามที่ คณะปฏิรูปบล็อคกระต่ายน้อยได้ยึดอำนาจการปกครองไว้เรียบร้อยแล้ว จึงขอแจ้งให้ผู้อ่านทุกท่านได้ทราบถึงนโยบายการ Post Comment ใหม่ของบล็อค โดยทางคณะปฎิรูปขอให้การ Post Comment ของบล็อคนี้ไม่หวานแหวว และขอให้เน้นขำ โหด เครียด หรือสร้างสรรค์ ทั้งนี้คณะปฎิรูปต้องขออภัยต่อผู้อ่านมา ณ ที่นี้ คณะปฎิรูปเข้าใจว่าของหวานนั้นอร่อย แต่กินบ่อยๆมันไม่ดีต่อสุขภาพ

สั่ง ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2549

ลงชื่อ พล.อ.ต่ายน้อย Anti-Romantic หัวหน้าคณะปฏิรูปฯ

....ขออภัยในความไม่สะดวก โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง

Refridgerator

โอ้อนิจจา

เมื่อซักครู่ข้าพเจ้าเพิ่งเปิดจดหมายอิเลกโทรนิกส์ฉบับที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิต เป็นจดหมายที่มาจากคอลเลจออฟฟิต

จดหมายฉบับนั้นแจ้งให้ทราบว่า

.............................

.................

.......

มีคนทิ้งตู้เย็นไว้ ให้ไปติดต่อขอมาใช้ได้ฟรี

"ตู้เย็น"

สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของข้าพเจ้าไปในทางที่ดีขึ้น
(ข้าพเจ้าดืมน้ำผลไม้อุ่น นมอุ่น มาตลอด รวมถึงไม่สามารถกักตุนอาหารได้เนื่องจากขาดตู้เย็น)

ดังที่อมาร์ตยา เซ็น นักเศรษฐศาสตร์ขวัญใจข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า "if there is starvation and hunger, then -no matter what the relative price looks like- there clearly is poverty" (Sen (1983), from "Poor, Relatively Speaking", Oxford Economic Papers, 35)

การไขว่คว้าให้ได้มาซึ่ง "ตู้เย็น" จึงเป็นสิ่งที่ตรงคอนเซ็ปต์ "การพัฒนา" ที่ข้าพเจ้าตั้งหน้าตั้งตาศึกษาอยู่จนตาแข็งและขวางเช่นทุกวันนี้มั่กๆ

...............

ข้าพเจ้าตัดสินใจวิ่งฝ่าสายฝนและลมหนาวไปที่ออฟฟิตของคอลเลจด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น (ลืมใส่เสื้อกันหนาวเฉยๆ อย่าคิดมาก)

ในใจฮึมเสียงเพลงในตำนานของวง ลิง กิน ผัก (Likkin Park)

I tried so hard and get so far! But in the end, I got "REFRIDGERATOR"

(เพลง In the end, version คนขาดตู้เย็น)

.......................

อนิจจา ลุงแก่ๆที่ดูแลคอลเลจออฟฟิตบอกข้าพเจ้าว่า

เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากส่งจดหมายอิเลกโทรนิกส์ฉบับนั้นออกไป ก็มีคนมาซิวตู้เย็นไปเรียบร้อย!

"ตู้เย็น" ที่ฉันเฝ้าฝัน

"ตู้เย็น" ที่ฉันเฝ้ารอ

"ตู้เย็น" ที่ฉันอยากขอ

"ตู้เย็น" ที่ไม่มีวัน....เป็นจริง



ข้าพเจ้ามิอาจสลัดความโครกเศร้าเสียใจออกไปจากจิตใจได้............

_______________________________

ป.ล.เขียนเล่นๆฮาๆนะ ไม่ได้เศร้าจริง

Thursday, November 23, 2006

ฉลองให้กับ Essay

เย้ เย้

Essay สุดโหดผ่านไปแล้ว ในที่สุดเราก็เข้าสู่ช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนปิดเทอม

ด้วยประการฉะนี้ ข้าพเจ้าขอทำตัวเป็นเจดีย์ ...เฮ้ย! ดีเจ เสียสักครั้ง

โปรดฟังเพลงนี้ดู (Click ที่นี่ครับ)

ชื่อเพลง Start โดยศิลปิน Depapepe ครับ

ฟังแล้วลองหลับตานึกถึงเวลาที่มีความสุขดูสิครับ.....

แค่เสียงกีตาร์สองตัวเนี่ย...ทำให้ใจอิ่มเอิบได้จริงๆ

Wednesday, November 22, 2006

ศึกสายเลือดหมี

คำเตือน: อายุต่ำกว่า 18 ปี โปรดอย่าอ่าน

ณ ปัจจุบัน ศึกสายเลือดเกิดขึ้นที่เชียงใหม่แล้ว

ระหว่าง

V1 ผัวเมียแพนด้า หมีไม่ยอมนอน



ต้นตระกูลเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน เทพของชาวปีศาจแดง (สังเกตได้จากคุณปิ่น กลางคืนไม่นอนเหมือนกัน)

.....อยากรู้จัง กลางคืนทำไรอ่ะ?

___________________________

V2 ครอบครัวโคอาล่า หมีต้นตำหรับท่าเต้นรูดเสา



โคโยตี้ลอกท่ามาใช้ตรึม

..........ใครจะเป็นฝ่ายชนะ โปรดโหวต.....

------------------------

หรือถ้าท่านตัดสินใจไม่่ได้ เรามีหมีโรคจิตในตำนานอีกตัวหนึ่งเป็นทางเลือก (ไม่อยู่ที่เชียงใหม่ แต่อาจเชิญมาได้ในอนาคต)

V3 วินนี่ จอมล้วง



(ล้วงไหครับท่าน...อย่าคิดมาก)

Monday, November 20, 2006

Talk like Ali-G

Fa those who don't know.

Da leadin acta of da famous movie right now, Borat, s da same main man as da acta who play da famous role of rappa Ali-G.






His name is Sacha Baron Cohen,

he graduated from Cambridge University. Me crew told me da ruma dat he was main man wiv Aj.Pichit of Econ TU.

I ave a video clip of im givin da speech fa da graduate of Harvard University. It's wicked! da link is in da house here:

http://www.ifilm.com/ifilmdetail/2653662

Fa those dat don't know where on earf I got these langauge from, please visit ali-g official web-site at www.disbealig.com and do da translation. Thun yous will know.

P.S. เมื่อการงานวิกฤตหนัก สภาพสติเลยวิปลาสตามไป

Friday, November 17, 2006

ค้นหาความหมายของการซื้อประเวณี

คำเตือน....บทความต่อไปนี้ไม่ต้องการนำเสนอมุมมองทางศีลธรรม ถ้าต้องการเพียงมุมมองดังกล่าวโปรดอย่าอ่าน

กระผมเพิ่งได้อ่านบทความเกี่ยวกับการค้นหาความหมายของการซื้อประเวณี เป็นงานวิจัยที่ทำในอเมริกา น่าสนใจทีเดียว เลยสนใจนำมาเล่าให้ทุกท่านฟังต่อ

งานวิจัยดังกล่าวแม้ทำในอเมริกาแต่ก็มีประเด็นหลายอย่างที่น่าจะเป็นประเด็นระดับสากล ที่พอบอกได้ว่าชายที่เที่ยวผู้หญิงในอเมริกานั้นมีความคล้ายคลึงกับชายที่เที่ยวผู้หญิงในประเทศอื่นอยู่หลายประการ

ธรรมดาเวลาเรานึกถึงการซื้อขายประเวณีนั้น ประเด็นแรกที่เรามักนึกไปถึงคือ ทำไมผู้หญิงถึงได้ขายประเวณี?

แน่นอนความยากไร้ การไร้การศึกษาที่เพียงพอ การตกอยู่ในอิทธิพลของลัทธิบริโภคนิยม หรือแม้คำตอบโบราณคร่ำครึอย่างเขา "ถูกหลอก" ถูกเอ่ยถึงอยู่บ่อยครั้ง หลายครั้งที่เธอเหล่านี้สุดท้ายก็ถูกเพียงแต่ตราหน้าหรือแผลเป็นทางสังคมให้แล้วก็จบ

ความเป็นจริงเรื่องอาจไม่ผิวเผินเพียงเท่านั้น โปรดอย่าลืมว่าเศรษฐศาสตร์บอกเราว่า เมื่อไม่มีอุปสงค์ย่อมไม่มีอุปทาน โสเภณีจะอยู่ได้อย่างไรหากไม่มีลูกค้า และแน่นอนสำหรับเมืองไทย โสเภณีจะเพิ่มจำนวนได้อย่างไร ถ้าคนเที่ยวไม่ "เยอะ"

คนเที่ยวเหล่านี้มองการซื้อประเวณีว่าคืออะไร? (ต่อไปนี้คือมุมมองของงานวิจัยที่ทำในอเมริกา)

ก่อนจะไปถึงมุมมองส่วนบุคคล สิ่งแรกที่ควรถูกพูดถึงคือสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ที่ได้เปลียนแปลงมุมมองของคนต่อการซื้อประเวณี

ด้วยอิทธิพลของทุนนิยมและตลาดที่ส่งผลให้เกิดกระบวนการ "ทำให้เป้นสินค้า (Commodification)" การซื้อประเวณีก็เช่นกันที่ถูกทำให้ไม่ต่างจากการซื้อสินค้า "ชนิดหนึ่ง"

มุมมองที่เห็นการซื้อประเวณีเป็นการซื้อสินค้าเป็นมุมมองหลักที่โน้มน้าวให้คนหันไปใช้บริการโดยไม่คิดถึงประเด็นทางศีลธรรม แต่ภายใต้มุมมองดังกล่าวการซื้อสินค้าที่เรียกว่า SEX ก็ยังมีรายละเอียดย่อยที่แตกต่างกัน

บางคนอาจมองว่าคนที่ไปซื้อประเวณีนั้น ไม่มีความสามารถที่จะหาผู้หญิงดีๆมามีความสัมพันธ์ด้วย....

เมื่อถูกภามว่าทำไมถึงได้ใช้บริการทางเพศ ชายหนุ่มหน้าตาดีผู้มีหน้าที่การงานที่สำคัญในบริษัทการเงินตอบคำถามว่า
"เขาต้องการมีชีวิตที่อิสระ การมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้หญิงนั้นนำมาซึ่งปัญหามากมายที่เขาไม่ต้องการ มันดีกว่าที่เขาจะมีความสัมพันธ์ทางเพศแค่เพียงผ่าน แล้วใช้ชีวิตอิสระของตนได้ต่อไปโดยไม่ถูกรบกวน"

....ความเป็น Individualism มากขึ้นของสังคม ก็อาจนำมาซึ่งคนที่ "มีโลกส่วนตัว" ที่ไม่ค่อยอยากให้ใครเข้ามาวุ่นวายมากนัก บางทีการมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งก็นำมาซึ่งความรับผิดชอบที่คนเหล่านี้ไม่อยากแบกรับ

บางคนมองว่าการหันไปใช้บริการทางเพศเกิดจากสภาพครอบครัวที่ไม่อบอุ่น ภรรยาไม่สามารถตอบความต้องการทางเพศของสามีได้.....

เมื่อถูกถามถึงสาเหตุของการใช้บริการว่าเกี่ยวกับความล้มเหลวของชีวิตแต่งงานหรือไม่ ชายวัยกลางคนตอบว่า
"เขามีชีวิตครอบครัวที่ดี มีความสัมพันธ์ทางเพศที่ปรกติกับภรรยา แต่การมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นทีีไม่ใช่ภรรยาของตนบ้างก็เหมือนการเปลี่ยนรสชาติ บางทีมันอาจช่วยทำให้ชีวิตคู่ของเขาดีขึ้นด้วยซ้ำ"

การซื้อประเวณีของผู้ชายนั้น ส่วนใหญ่ถูกแยกออกจากความรัก รักครอบครัว รักแฟนก็เรื่องหนึ่ง การทำตามความอยากก็อีกเรื่องหนึ่ง

บางคนที่มองว่าคนที่ไปเที่ยวผู้หญิงนั้น ไปเพียงหาทางออกที่ยังไม่มีให้กับความใคร่ที่อัดอั้น อาจมองเรื่องดังกล่าวไม่ครบทุกมุม....

เมื่อถูกถามถึงสาเหตุของการเที่ยว ชายคนหนึ่งจึงได้เล่าประสบการณ์ที่ติดอยุู่ในความทรงจำของตน
"ความประทับใจในการบริการทำให้เขาไปที่นั่นเพื่อหาสาวคนเดิมอยู่บ่อยๆ เขาชอบความรู้สึกที่ได้จากเธอ"

แต่เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกที่มีให้กับเธอว่าอยู่ในฐานะใด
"เขากลับตอบเพียงว่า มันอยู่ในฐานะผู้ซื้อและผู้ขายเท่านั้น ความสัมพันธ์ไม่เคยเกินเลยไปกว่าทางพาณิชย์ และไม่ใช่เพียงเขาที่ต้องการเพียงแค่นั้น แต่เธอเองก็ต้องการเช่นกัน"

"แม้ให้เลือกมีความสัมพันธ์โดยที่ไม่ต้องเสียเงินได้ เขาก็จะไม่เลือก เพราะเขาเชื่อว่าสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ความสัมพันธ์ในเชิงอุปสงค์และอุปทานเป็นเรื่องที่เหมาะแล้ว"

หญิงสาวผู้เคยผ่านประสบการณ์เป็นผู้ให้บริการ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของเธอกับลูกค้าว่า
"มีบ้างบางครั้งที่เธอรู้สึกพิเศษกับลูกค้าบางคน แต่เธอรู้ว่าการพยายามให้ความพิเศษกับลูกค้าที่เธอรู้สึกเช่นนั้น จะไม่ส่งผลใดๆที่เธอต้องการให้เกิดขึ้นได้เลย เธอเคยบอกให้ลูกค้าที่เธอชอบมากคนหนึ่งมาใช้บริการได้ฟรี.....แต่หลังจากนั้นเธอก็ไม่เจอเขาอีกเลย"

คำอธิบายว่าการไปเที่ยวนั้นคือการบำบัดทางอารมณ์อาจถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะในความคิดของผู้ชายนั้น การบำบัดอารมณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกที่ถูกแยกจากความเป็นจริง เป็นโลกที่ไม่เกี่ยวกับความรักและศีลธรรม เป็นสิ่งเสมือนจริงในโลกที่จำกัด (Bounded Authenticity)ที่อยู่บนพื้นฐานของการได้รับและตอบแทน

นั่นคงเป็นความหมายคร่าวๆของ "การซื้อประเวณี" ที่ได้จากงานวิจัยเรื่องดังกล่าวในอเมริกา

ไม่รู้ว่าจะคล้ายคลึงกับภาวะในประเทศไทยของเราหรือไม่?

แต่ที่แน่ๆ งานวิจัยดังกล่าวได้เอ่ยถึงคำสัมภาษณ์ที่ตรงไปตรงมาของชายอเมริกันคนหนึ่ง ที่ว่า

"Men and woman just think differently, Men will fuck sheep, boys, anything. They are dogs"

.........ไม่ทราบชายไทยคิดว่าส่วนไหนบ้างของประโยชน์ดังกล่าวที่จริง

Tuesday, November 14, 2006

เศรษฐกิจพอเพียง: ทฤษฎีสีเหลือง

ในยุคที่สีเหลืองกลายเป็นสีที่มีอภิสิทธ์เหนือสีอื่นๆ

กลายเป็นสีที่ศักดิ์สิทธ์ และมีอำนาจทางคุณธรรมแฝงอยู่ (ช่วยเพิ่มความชอบธรรมในการทำรัฐประหารได้ด้วย...อู้หู)

เราอาจเที่ยวไปบอกคนที่ไม่ยอมใส่สีเหลือง หรือไม่มีเสื้อเหลืองอยู่ในตู้เสื้อผ้าได้ว่า

"morally below standard"

ก็ในเมื่อสีเหลืองมันทรงพลังขนาดนั้น......ใครปฏิเสธก็เหมือน "คนไม่รักดี"

....................

เอาล่ะ ทีนี้มาว่ากันด้วย "อภิทฤษฎี" ที่ชื่อ "เศรษฐกิจพอเพียง" บ้าง

เพราะปัจจุบันก็กลายเป็นทฤษฎีที่ศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจทางคุณธรรมไปแล้วเช่นกัน

เมื่อมันกลายเป็นทฤษฏีสีเหลือง....เปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมี

คงปฏิเสธได้ยาก เพราะใครกล้าหาญไปโต้แย่้ง อาจถูกว่าได้ง่ายๆว่า ไม่รักดี

...................

คงไม่อาจปฏิเสธได้่ว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจทฤษฎีหนึ่ง

แต่ต้องยอมรับว่า ในเมื่อมันเป็นแนวคิด มันก็ย่อมมีจุดดีและจุดด้อย

และที่สำคัญมันควรมีความเท่าเทียมกับแนวคิดอื่นๆ ไม่ใช่มาด้วย "อภิสิทธิ์"

ถ้าเศรษฐกิจพอเพียงมาแบบใส่สีเหลือง แล้วการวิพากษ์วิจารณ์ที่ตรงไปตรงมา การโต้แย้งบนหลักของเหตุผล บนเนื้อหาของทฤษฎีล้วนๆจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

ช่วยกันถอดสีเหลืองออกจากเศรษฐกิจพอเพียงก่อนเถอะ แล้วค่อยมาตื่นเต้นตื่นตัวกับมันเช่นปัจจุบัน

.....................

ในฐานะที่เศรษฐกิจพอเพียงน่าจะอยู่คู่สังคมไทยไปอีกนาน

ขอโปรดพึงสังวรณ์ความเป็นสังคมอภิชยานาธิปไตยของประเทศไทยเอาไว้

ว่าสังคมไทยเป็นสังคมของคนกลุ่มน้อยที่อยู่บนยอดปิรามิดทางเศรษฐกิจและอำนาจ และคนเหล่านี้ก็มีความสามารถสูงในการสร้าง ความเป็นไทย เพื่อปกป้องประโยชน์ของตนเองได้อย่าง "เนียน" มาตลอด

และตั้งคำถามเยอะๆกับ อภิชน.....อภิสี......และอภิทฤษฎี

Monday, November 13, 2006

ภาพลวงของการมองอดีต

วันก่อนได้อ่านเอกสารชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับกระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์

เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับข้อผิดหลาดเกี่ยวกับการศึกษาประวัติศาสตร์ ที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ คือการศึกษาประวัติศาสตร์บนฐานของความรู้สึกปัจจุบัน

พูดง่ายๆว่าเอาปัจจุบันมาตัดสินประวัติศาสตร์ว่างั้นเถอะ ซึ่งผู้เขียนบอกว่าเป็นเรื่องไม่ควร เพราะประวัติศาสตร์ควรถูกศึกษาภายใต้ปัจจัยแวดล้อมต่างๆของยุคสมัยนั้นๆในอดีต เพื่อให้เกิดความเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆในอดีตอย่างแท้จริง (และเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทำการบางอย่างในปัจจุบัน)

แต่เรื่องที่อยากเม้าท์คงไม่ใช่เรื่องดังกล่าว

มันเป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกโดนอะไรบางอย่างใกล้ตัว

เนื่องจากเอกสารดังกล่าว ยังกล่าวต่อไปถึงภาพลวงที่มักเกิดขึ้นเสมอเวลาคนเราอ้างอิงประวัติศาสตร์ (ภาพลวงเหล่านี้มักทำให้ประวัติศาสตร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือ)

ผู้เขียนกล่าวว่าภาพลวงใหญ่ๆที่มักเกิดในการมองย้อนกลับไปในอดีตก็ได้แก่

หนึ่ง อดีตมีค่าควรอนุรักษ์เสมอ

แนวนี้เป็นแนวคิดแบบ"วัฒนธรรมไหนที่มีมาแต่เดิมย่อมดีตลอด" มักจะได้เจอในคำกล่าวประมาณว่า ก็เขาทำมากันแบบนี้ตั้งนานแล้วอ่ะ หรือถ้าเป็นแบบที่กระผมเคยได้ยินคงเป็นประมาณ ที่นี่เราทำแบบนี้กันมาตั้งนาน (เพราะฉะนั้นโปรดอย่าเถียงและทำมันต่อไป)

อืม คุ้นๆ คุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินอะไรแบบนี้บ่อยๆ

สอง ปัจจุบันแย่กว่าอดีตเสมอ

คือประมาณว่า อดีตที่ผ่านมาล้วนรุ่งเรือง ส่วนปัจจุบันที่เป็นอยู่นั้นแย่ลงกว่าเดิมมาก แนวคิดแบบนี้มักพบได้ในคำกล่าวของผู้สุงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่จะกล่าวว่า เด็กสมัยนี้นี่..... ผู้เขียนเอกสารดังกล่าวบอกว่า ความรู้สึกแบบนี้มักเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ที่ปรับตนเองตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน จนรู้สึกเกิดการสูญเสียขึ้นภายใต้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

อืม คุ้นๆ อีกละ

ทำไมๆ รู้สึกเหมือนได้ยินอะไรประมาณนี้มาก่อนก็ไม่รู้ ประหนึ่งเกิด dejavu

ดูท่าทางบางสถานที่จะตกอยู่ในภาพลวงแห่งการมองอดีตแบบที่คนเขียนคนนี้กล่าวไว้พอควรนะเนี่ย อืม.....

Sunday, November 12, 2006

การเรียนและการตั้งคำถาม

ขอบ่นเสียหน่อย สักสองสามเรื่อง

ช่วงนี้กระผมต้องผจญกับภาระการเรียนที่นักมาก การใช้ชีวิตแต่ละวันนั้นต้องถือว่าอยู่ในวิสัย "ชีวิตเศร้า" เลยทีเดียว เนื่องจากเวลาทั้งหมด ยกเว้นกินข้าวและนอน ถูกใช้ไปกับการเข้าเรียน อ่านหนังสือ และเขียน essay ส่ง แบบว่าชีวิตเหลือแค่มิติเดียว มิได้ออกกำลัง ฟังเพลง หรืออ่านหนังสืออ่านเล่นแต่อย่างใด

กับการเรีียนที่หนักหน่วงนั้น ก็พอบอกได้ว่า มันก็เป็นเช่นนั้นนั่นแล ตอนเลือกมาก็ไม่รู้ว่ามันจะหนักหนาอะไรมากมาย พอมาถึงก็ได้ยินเสียงเล่าลือว่าคอร์สที่เลือกมานั้นระดับความทรมานใช้ได้ทีเดียว พอเรียนไปจริงๆก็ถึงบางอ้อ มันทรมานใช้ได้ อย่างนี้นี่เอง!

แต่ท่ามกลางภาระงานหนักหน่วงและความเครียดฟุ่งกระจายเหล่านี้ ก็มีเรื่องน่าคิดผุดขึ้นในหัวสองสามเรื่อง

อย่างแรกเนี่ย คือความต่างระหว่างการเรียนป.ตรีกับการเรียนระดับ grad
เพิ่งมาเข้าใจว่า โอ้ เราต้องถูกฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วง เพื่อให้สามารถผลิตงานวิชาการชั้นดีได้ในอนาคต

ขออาจารย์ทั้งหลายที่เคยต่อว่าผลงานกระผมเมื่อครั้งเข้ามาเป็นอาจารย์ป.ตรีโปรดเข้าใจ กระผมเพิ่งทราบแล้วว่าการฝึกฝนเพื่อเข้าสู่โลกวิชาการอย่างจริงจังนั้นเป็นเช่นไร เทียบกันไม่ติดทีเดียวกับตอนเรียนป.ตรี

หวังได้ว่าเมื่ออ่านการฝึกโหดเหล่านี้ไปแล้วงานกระผมจะมีพัฒนาการชัดเจน

โอ้ ขอหยุดแก้ตัวก่อน มีเรื่องอยากบ่นและกล่าวโทษผู้อื่น

คือต้งแต่มาเรียนระบบอังกฤษเนี่ย เห็นปัญหาอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเองชัดเจน

คือระบบการเรียนที่ประสบอยู่ในปัจจุบันนั้น เน้นการเรียนแบบอ่านเอง แล้วไปห้องเรียนเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ประเด็นต่างๆแข่งกัน

อาจเรียกได้ว่าเป็นการเรียนเชิงวิพากษ์

ทีนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวผมในปัจจุบัยก็คือ ผมรู้สึกถึงความสามารถที่อ่อนด้อยกว่าประชามคมโลกจากยุโรปและอเมริกาด้านการตั้งคำถามและ การวิพากษ์วิจารณ์มากๆ

คือรู้สึกว่าตัวเองเนี่ย หากเข้าเรียนแล้วเข้าใจที่อาจารย์พูด อ่านหนังสือรู้เรื่อง จำประเด็นต่างๆที่สำคัญของหนังสือได้ก็น่าจะพอแล้ว อาจถือว่าดีมากแล้วด้วยซ้ำ

แต่พอต้องมาตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองอ่าน แบบว่าประเด็นไหนที่เราไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยเพราะอะไร เราคิดว่าผู้เขียนขาดอะไรไปบ้าง ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรเหล่านี้ได้ไม่ดีเลย

จะว่าไปแล้วเลยได้นึกย้อนกลับไปในอดีต และพบว่าอืม…จริงๆก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนนี่น่า

ตั้งแต่เริ่มเรียนอนุบาล ยันจบป.ตรี ดูเหมือนการเรียนรู้ในบ้านเรานั้น จะแยกชัดเจนระหว่างการเรียนกับการถาม

คือเรียนก็คือเรียน เข้าไปในห้อง ทำให้ได้อย่างที่อาจารย์บอก คิดให้ได้แบบที่อาจารย์คิด จำให้ได้ แล้วเอาไปสอบ ได้คะแนนดีสบายแฮ

แต่ไม่ต้องวิพากษ์ว่าสิ่งที่อาจารย์สอนนั้นมีข้อบกพร่องตรงไหน ไม่ต้องตั้งคำถามแข่งกับความรู้ที่อยู่บนกระดาน ไม่ต้องไปพูดคุยถกเกียงกันต่อถึงความรู้ที่ได้รับว่าเห็นด้วยหรือไม่และอย่างไร

คิดโทษการศึกษาไทยได้เช่นนี้ กระผมจึงรู้สึกเสียดายและเสียใจกับระบบการศึกษาบ้านเราพอควร อืมเราฝึกคนเป็นนักคิดได้ยากจริงๆ เพราะเราไม่เคยให้ความสำคัญกับการตั้งคำถามในการเรียน

นี่ล่ะน้า กระผมถึงได้ลำบากใบ้แด๊กอยู่ในขณะนี้ (แต่จริงๆแล้วภาษากระผมก็ยังไม่ค่อยดีนัก จะพูดไรทีก็ต้องคิดแล้วคิดอีก โดยเฉพาะเวลาถกเถียงเรื่องที่เป็นวิชาการมากๆ เรื่องนี้มีส่วนเช่นกันและเป็นความผิดของกระผมเอง)

อีกเรื่องนึงคงเป็นเรื่องความเหงา

อืมตั้งแต่มาเรียนเนี่ย วันๆแทบไม่ค่อยได้เจอใคร ถึงเจอก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรมากมาย แบบคุยผ่านๆ

กับเพื่อนที่ร่วมคลาสก็ไม่ค่อยสนิท (ซักที)

ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม จริงๆก็อยากคุยกันมันนะ แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างมากั้นเอาไว้

จากเมื่อก่อนเวลาโดนถามว่า How are you? จะต้ั้งใจตอบเพราะนึกว่ามันถามจริงๆ

จนตอนนี้รู้แล้วว่าเขาก็ถามไปงั้นล่ะ เพราะเขาไม่ได้รอคำตอบอะไรจากเรา

รู้สึกว่าสังคม Grad เนี่ยแบบ ค่อนข้างตัวใครตัวมัน ดูแลตัวเองก็แล้วกัน เวลาเฮฮาอะไรร่วมกันเนี่ย แทบไม่มีเลยซักครั้ง

อืม พอมาอยู่แบบนี้ก็ จิตตก พอควร แบบคนเคยอยู่ฮาๆ เพื่อนเยอะๆ มีเรื่องคุย บ่น เม้าท์ ได้ตลอด

พอมาอยู่แบบนี้ กอปรกับความเครียดจากการเรียน

ก็ได้แต่บอกตัวเองบ่อยๆ ว่า common man! it won’t make you die! it will make you tough!

เอาล่ะ ขอหยุดบ่นแต่เพียงเท่านี้และไปอ่านหนังสือต่อแล้ว

Thursday, November 02, 2006

กระบวนการสร้างสังคม (Social Construction)

ขอร้อนวิชาเสียหน่อย

ช่วงนี้กำลังศึกษาเรื่อง "กระบวนการสร้างสังคม" อยู่

มันส์มากทีเดียว แต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการสร้างสังคมแอฟริกา

จากที่ไม่มีประเทศชัดเจน แอฟริกาในอดีตก่อนจะถูกครอบครองเป็นอนานิคม แม้จะแบ่งแยกกันเป็นชนเผ่า แต่เส้นแบ่งไม่เคยชัดเจน และแต่ละเผ่าไม่พยายามช่วงชิงทรัพยากรหรือสร้างความขัดแย้งกับชนเผ่าอื่น (ยกเว้นในบางกรณี)

แอฟริกาผ่านเส้นทางของการเป็นอาณานิคม ที่มีการตีเส้นแบ่งดินแดนต่างๆเป็นชาติเพื่อปกครอง และเข้าสู่ช่วงเวลาที่แต่ละประเทศที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นตกอยู่ภายใต้กระบวนการ "สร้างชาติ"

จนถึงช่วงเวลาแห่งความโหดร้าย ที่ประชาคมโลกต้องเห็นคนแอฟริกันฆ่ากันเองเพราะความแตกต่างทางเชื้อชาติ (ซึ่งในหลายกรณีกลับเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงการเป็นอาณานิคม)

คนแอฟริกันที่ตกอยู่ภายใต้สงครามระหว่างเชื้อชาติ จะรู้บ้างไหมว่าหลายๆสิ่งที่เขาเชื่อจนต้องฆ่ากันตายนั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ชนชั่นปกครองได้ใช้ประโยชน์ในการสร้างอำนาจและความชอบธรรมทางการเมือง

........................

อาจารย์ที่สอน บอกให้เห็นถึงความสำคัญของการรู้สึกตัวว่าเราล้วนตกอยู่ภายใต้ "สังคมที่ถูกสร้าง"

แล้วคนไทยเราล่ะ รู้ตัวกันบ้างไหมว่าอะไรในบ้านเราซึ่งถูกสร้าง

อะไรเป็นสิ่งที่เราคิดว่าสำคัญนัก จนเอามาแบ่งว่าใครเป็นคนไทย ไม่เป็นคนไทย

สิ่งนั้นมันมีค่าพอไหม ที่เราจะคลั่งกับมันจนต้องทำร้ายกัน

คำถามนี้คงตอบยาก

แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าเราต่างอยู่ในสังคมที่ถูกสร้าง เราคงเข้าใจในความแตกต่าง ที่เราอาจเคยเรียกมันว่า "ความขัดแย้ง" ได้ดีขึ้น

ขอแค่นี้ มากไปไหม?

Wednesday, November 01, 2006

อธิการฯธรรมศาสตร์ กับ ตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติ

หลังจากได้เห็นร่างแถลงการณ์ให้ท่านอธิการธรรมศาสตร์ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเลือกลาออกจากตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง

อืม....

จริงๆก็เห็นด้วยพอควร ว่าอธิการธรรมศาสตร์ไม่ควรไปเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ

แต่อีกแง่นึงก็เห็นใจ อ.สุรพล เหมือนกัน

ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนนะ แต่พอเข้าใจสถานะ

รวมถึงที่แกพยายามบอกว่า กลับไปแก้ไขในอดีตไม่ให้รัฐประหารไม่เกิดคงไม่ได้ ตอนนี้อ.เขาคงอยากทำหน้าที่ในฐานะนักกฎหมายมหาชนในการช่วยร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รวมถึงหน้าที่อะไรอีกมากมายตามที่จะทำได้

แต่ก็นั่นล่ะ ก็ยังรู้สึกว่าจุดยืนอ.เขาน่าจะแข็งกว่านี้หน่อย ช่วงแบบนี้ภาษาวัยรุ่นน่าจะเรียกได้ว่า "ช่วงวัดใจ"

ถ้าใจถึงก็ออกดีกว่า โดยนโนคติและอุดมการณ์แล้วคงพอเข้าใจได้ว่าสองตำแหน่งนี้มีสภาพเบื้องหลังที่ขัดแย้งกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

หลังๆนี่ รู้สึกเหมือนว่า คนเราบางทีก้ต้องเจอเอากับช่วงวัดใจแบบนี้อยู่บ่อยๆ และการวัดใจแบบนี้นี่ล่ะ มันเป็นจุดที่ทำให้ "ตำนาน" ต่างจาก "ประวัติศาสตร์"

ถ้าคุณเป็นอธิการธรรมศาสตร์ล่ะ คุณจะทำไง?

Tuesday, October 31, 2006

กลับมาอีกครั้ง

กลับมาอีกครั้งหนึ่งครับพ้ม

คนเดิม ใจเดิม แต่เปลี่ยนสถานที่

เพราะตอนนี้ดั้งด้น ลำบากลำบน ขนย้ายบั้นท้าย มา(ไม่ค่อย)สบายที่ Oxford

.................

ที่ Oxford นี่สวยดีนะครับ

จริงๆ อยากจะโพสรูปให้ดูจริงๆ

แต่ลืมไปว่าทำไม่เป็น อืม....ใช้มาตั้งนานก็ยังโพสรูปไม่เป็น งั้นไว้คราวหน้านะ

(ดูอีกที ทำเป็นละครับ แต่ยังไม่มีรูป)

.................

ตอนนี้ ชีวิต ก็...ขอใช้คำนี้ละกัน หมกหมุ่น

หมกหมุ่นอยู่กับการเรียนมากๆๆๆ

จะว่าไป ไม่เคยเรียนหนักเท่านี้มาก่อน

แต่ถามว่าชอบที่เรียนอยู่ไหม

อย่างน้อยที่สุด ก็พอบอกได้ว่าชอบ อืม...นี่คงเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดเรื่องนึงมั้ง

.................

พอดีตัดสินใจเด็ดเดี่ยว

กระโดดข้ามจากเศรษฐศาสตร์ มาเรียนด้านการพัฒนา

เป็นการเรียนแบบสหวิทยาการ

คือต้องศึกษาหลายๆศาสตร์ไปพร้อมๆกัน เกี่ยวกับเรื่องการพัฒนา

ก็หนักหน่อยเพราะจับปลาหลายมือเหลือเกิน (เหมาะใช้คำว่าหว่านแหมากกว่า)

แต่ถ้าได้ปลาหลายตัวก็น่าสน

อ้า....แต่เค้าให้เลือกตัวที่ชอบสุดเป็นหลักได้นะ

ก็คงอยู่วงการเศรษฐศาสตร์ต่อไปนี่ล่ะ แต่คงพยายามผสมๆให้ออกมาเป็นแนวของตัวเอง

แบบเศรษฐศาสตร์การเมือง ผสมกับมานุษยวิทยา

แล้วจะเล่าให้ฟังนะครับ ว่าจะออกมาเป็นไง

แต่ที่แน่ๆ คงต้องขอเป็นพวกนอกกระแส(หลัก)อีกคน

เข้าร่วมแก๊งค์กับอ.ปกป้อง และอ.อภิชาติ ที่คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ โดยปริยาย (อืม...ได้เกาะกลุ่มคนดังแฮะ)

.............................

วันนี้ขอตัวก่อน ต้องไปสะสางงานที่ยังอ่านไม่เสร็จให้หมดก่อนนอน

ต่อจากนี้คงเขียนยาวๆไม่ได้ เพราะงานยุ่งเหลือเกินจะรับไหว

เอาเป็นว่าจะเขียนวันละนิด แต่เขียนบ่อยๆละกันนะครับ

โชคดี

..............................

Sunday, August 27, 2006

ค้นหาตัวเองที่สุคะโต

มันเป็นเวลาล่วงสองสัปดาห์มาแล้ว...หลังจากที่ผมกลับออกมาจากวัดป่าสุคะโต ที่ซึ่งผมได้ไปใช้เวลาร่วมเดือนในการบวชเรียน

ในตอนแรกผมคิดจะเขียนบทความนี้ทันทีเพื่อไม่ให้ความทรงจำต่างๆที่ยังชัดเจนอยู่ในหัวเริ่มจางหาย

แต่แล้วความวุ่นวายในทางโลกก็กลับเข้ามาสู่ชีวิตอีกครั้ง ทั้งที่คาดหมายและไม่ได้คาดหมาย การเขียนเล่าเรี่องนี้ก็ถูกผ่อนปรนออกไป

อย่างไรก็ดีเมื่อไตร่ตรองแล้ว ผมกลับรู้สึกว่า มันคงดีกว่าที่จะเขียนถึงประสบการณ์ที่ได้จากการบวชในตอนนี้ เวลาที่โลกแห่งความจริงกลับมาสู่ชีวิตอีกครั้ง และประสบการณ์ทางธรรมกำลังลดกำลังของมันลงเมื่อต้องต่อสู้กับกิเลสที่บ่าเข้ามาตลอดเวลา

เราคงเบื่อๆกันแล้วเวลาที่เห็นบทความธรรมะของคนที่ซึ้งในพระธรรมอย่างสุดเหลือ จนผู้อ่านรู้สึกถูกสะกดไปชั่วขณะ แต่แล้วพอตื่นจากภวังค์ชีวิตก็เข้าสู่วงจรเดิมก่อนหน้า ทุกข์ สุข ไม่เปลี่ยนแปลง

"ชีวิตจริงมันหวานซึ้งแค่ชั่วประเดี๋ยว แล้วก็มีแต่ความจริงรสขมที่นานไปเราก็เริ่มชินชา"

มาลองดูช่วงเวลาที่ธรรมะกำลังยื้อฉุดกับกิเลส ประดุจการต่อสู้ที่ยังไม่อาจบอกได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะดีกว่า ห้วงเวลาแบบนี้ไม่ใช่หรือที่เป็นตัวตัดสินว่าการกระทำจะออกมาชั่วดีอย่างไร

...........................

"วัดป่าสุคะโต"

ผมย้อนกลับไปเล่าสั้นๆถึงประสบการณ์ที่ได้จากการบวชเรียนก่อน ด้วยว่าท่านผู้อ่านทั้งหลายคงสนใจถึงที่มาที่ไปแห่งธรรมะที่ผมได้เรียนรู้มา

ผมเองไม่เคยคาดหวังว่าชีวิตตัวเองจะต้องบวช ผมไม่เชื่อเรื่องบุญบาปที่ได้จากการบวช ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครมาเกาะชายผ้าเหลืองใครขึ้นสวรรค์ได้

แล้วไปบวชทำไม?

วันหนึ่งความคาดหวังต่อชีวิตผมเริ่มเปลี่ยนไป ครั้งหนึ่งผมรู้สึกเหมือนตัวเองจะควบคุมทุกๆอย่างในชีวิตไว้ได้ง่ายๆ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ผมห่วยแตกและอ่อนแอกว่าที่ผมรู้จักตัวเองเยอะ ผมไม่เคยทำตามที่ตัวเองบอกตัวเองได้ ผมล้มเหลวต่อความคาดหวังของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซากปรักหักพังของความฝันที่เคยยิ่งใหญ่เหมือนกองอยู่เกลือนกลาดในชีวิต จากคนที่เคยมั่นใจว่าจะทำทุกๆอย่างได้สำเร็จอย่างง่ายดายผมเรียนรู้ว่าตัวเองก็แค่คนไม่เอาไหนคนหนึ่ง

มันเกี่ยวอะไรกับการบวช?

แม้โง่เขลา แต่ผมก็เคยรู้อะไรเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้ามาบ้าง บดสวดมนต์ประกอบคำแปลที่เคยสวดทุกเช้าเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนยังดังอยู่ในความทรงจำ ศาสนามักเป็นคำตอบสุดท้ายของคนที่คิดอะไรไม่ออกเกี่ยวกับชีวิต ผมเองตั้งความหวังว่าจะปัดฝุ่นความผิดพลาดแล้วตั้งใจใช้ชีวิตให้ดีขึ้นอีกครั้ง จุดเริ่มใดล่ะที่จะดีไปกว่าการออกแสวงหาสิ่งที่ขาดหายไปอย่างแน่นอนในชีวิต

"สติ"

คำได้ยินบ่อยที่สุดคำหนึ่งในศาสนาพุทธ แล้วมันคืออะไร มีมันแล้วชีวิตจะดีขึ้นหรือ? กับคนที่เริ่มจนตรอกกับปัญหาแล้ว การเฝ้าหาคำตอบก็อาจเป็นความฟุ่มเฟือยในการใช้โอกาสได้ ลองตอบมันทุกคำตอบเท่าที่มีเวลาจะตอบได้ดีกว่า

ลมแห่งโชคชะตาพัดเข้ามาสู่ชีวิตผมอีกครั้ง ครั้งนี้มันพัดพาให้ผมได้ไปรู้จักวัดที่ชื่อวัดป่าสุตะโต

ผมได้ไปชัยภูมิในการปฏิบัติงานให้กับคณะ แล้วด้วยความบังเอิญและความกรุณาของอาจารย์ท่านหนึ่งผมก็ได้ไปเยี่ยมเยือนที่แห่งนี้

สำหรับคนบาปหนาเช่นผม วัดไม่ใช่ที่ๆผมย่างกรายเข้าไปบ่อยนัก แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าวัดนี้ไม่เหมือนที่อื่นๆ

ผมเคยรู้สึกอิดเอียน เมื่อเห็นนักบวชกระทำตนเองไม่ต่างอะไรกับพ่อค้า เดินซื้อของเล่นและเกมส์เกมที่คลองถมไม่ต่างกับ "เต่ายักษ์" (taoyak.blospot.com)

เคยเบื่อเซ็งกับตู้บริจาคค่าน้ำไฟ และเลิกบูชาสงฆ์อย่างจริงใจเมื่อเห็นข่าวการเสพเมถุนดาษดื่นบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน

อย่างน้อยที่วัดป่าสุคะโตทุกอย่างแตกต่างออกไป ที่นั่นปฏิเสธแนวทางพุทธพาณิชย์อย่างสิ้นเชิง ด้วยรู้ว่าเมื่อมีเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเมื่อไรแล้ว ไม่ว่าคน สงฆ์ หรือเทวดา ก็ล้วนลดคุณค่าตนเองกลายเป็นมารได้ทุกเมื่อ

กับพิธีกรรมที่เป็นเปลือกนอกก็เช่นกัน วัดป่าสุคะโตไม่มีการสวดศพ ไม่มีการระดมสงฆ์ไปงานบุญ ไม่มีเสียงโห่ร้องของการแห่นาค

ความเงียบสงบกับบรรยากาศที่ร่มรื่นของป่า ดูเป็นสถานที่ในอุดมคติเหลือเกินสำหรับการเรียนรู้ตนเอง

ผมตัดสินใจจะบวชที่นี่ทันที เมื่อได้พบท่านอดีตเจ้าอาวาส "หลวงพ่อคำเขียน" ด้วยประทับใจเมื่อได้รับคำตอบว่า "จะมาบวชหรือ ไม่ต้องเตรียมอะไรมาหรอก มาแต่ตัว เตรียมใจมาให้พร้อมก็พอ"

เกิดครั้งแรกก็มีมาแต่ตัวกับใจ หากจะเกิดอีกครั้ง ทำไมจะต้องมีไปมากกว่านั้น

.......................

"ค้นหาตัวเอง"

วันเวลาที่สุคะโตผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ที่นั่นวัตรปฏิบัติประจำวันเริ่มต้นในเวลาที่ใครบางคนยังไม่เริ่มนอนหลับ

ตีสามครึ่งเราทุกคนต้องตื่นมาแปรงฟันล้างหน้า ตีสี่ทำวัตรเช้า ฟังเทศน์ ตีห้ากว่าๆบิณฑบาตร เจ็ดโมงครึ่งฉันเช้า เก้าโมงปฎิบัติธรรมในรูปแบบโดยการเดินจงกรมสลับกับการเจริญติโดยเทคนิคการเคลื่อนไหวกาย พักครู่หนึ่งในเวลาเพล แล้วปฏิบัติธรรมต่อจนทำวัตรเย็น ก่อนนอนในเวลาสามทุ่มก็ปฏิบัติต่ออีกเล็กน้อย

หลักในการปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีอะไรมาก แค่สั้นๆคือ "รู้สึกตัว"

ดั่งคำสอนในพระไตรปิฎกเกี่ยวกับการฝึกสติ อันมีอยู่ว่า จะ กิน นอน เดิน นั่ง คู้ เหยียด ก็ให้รู้สึก

นั่นคือแก่นในการฝึกสติตามแบบฉบับของสุคะโต

ให้อยู่กับความรู้สึกตัว แล้วสติจะมีกำลังเพิ่มขึ้น ความคิด อารมณ์ ความสุข ความเศร้า ก็กลายเป็นแค่ห้วงภวังค์ที่ผ่านมาและผ่านไป ไม่ได้มีกำลังดึงใจของเราไปสุขทุกข์กับมันอีก

ฟังแล้วอาจเข้าใจยาก ก็นั่นล่ะ หากสนใจก็ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับสุคะโต พอได้ข้อมูลแล้วลองปฏิบัติจะดีที่สุด

"หมื่นล้านคำกล่าวก็ไม่สู้สัมผัสด้วยตนเอง"

กับการปฏิบัติธรรมนั้น ในเวลาแรกผมก็ปฏิบัติไปด้วยความมุ่งหวัง "หว่านพืชหวังผล" ทุกครั้งที่เข้าสู่การปฏิบัติก็บอกตัวเองว่าต้องตั้งใจทำมากๆเพราะไม่อยากผิดพลาดอะไรไปอีกครั้ง มาไกลขนาดนี้ต้องได้อะไรไปบ้าง

มารู้ตัวก็ในวันหนึ่งว่าหากปฏิบัติไปด้วยความอยากได้อยากเป็น แล้วจะต่างอะไรไปจากเมื่อครั้งอยู่ในทางโลกที่ชีวิตขับเคลื่อนด้วยกิเลสเล่า นับจากตอนนั้นก็ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆโดยไม่คิดอะไร

ในช่วงเวลาแห่งการปฏิบัตินั้น ทำให้รู้สึกไปว่าชีวิตมีคุณค่าของมันอยู่แล้ว ความสุขก็อยู่กับตัวเราอยู่แล้ว บางครั้งนึกย้อนมองดูกลับไปในรอยอดีตแห่งความสุขเศร้าก็รู้สึกว่าไม่พบสาระอะไรให้ใจวุ่นวายอีก

ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆของชีวิตเวลาหนึ่ง

แต่อนิจจา ด้วยความบาปหนาหรือไรเล่า ผมเองก็ตัดไม่ขาดจากทางโลกอยู่ดี ความมุ่งหวังในอนาคตของตนเองยังมีอยู่เต็มเปี่ยม กามกิเลสทั้งหลายยังอยู่ในห้วงคำนึง ทุกสิ่งล้วนเรียกร้องให้ผมกลับไปสู่ทางโลก ไปไขว่ขว้า ไปค้นหา ไปหมกหมุ่นกับความคาดหวังอีกครั้ง

ผมยอมรับว่ายังข้ามไม่พ้นกำแพงแห่งอัตตา และสัญชาตญานแห่งความอยากของสัตว์ที่มีอยู่ในตัว

แต่อย่างน้อยก็ยังได้รู้จักมันดีขึ้น แลกำแพงที่เคยสูงสุดตาก็ไม่ได้รู้สึกว่าสูงจนไม่เห็นจุดจบอีกต่อไป

ในวันสึก ผมรู้สึกอยากจะหยุดสภาวะในจิตใจตนเองให้มันอยู่แบบนี้ไปอีกนานเท่านาน สภาวะที่สงบ สภาวะที่ตัวเองรู้สึกเป็นนายของจิตใจ โทสะ โมหะ โลภะ ล้วนเป็นที่รู้จักแล้วสิ้น

แต่ในใจลึกๆก็ยังรู้อยู่ เมื่อกลับมาทางโลกแล้วทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนไป ไม่รู้จะต้านทานกระแสกิเลสได้อีกนานแค่ไหน....

.............................

กลับสู่ความจริง

กลับมาจากสุคะโตวันแรก ผมถึงกลับหวั่นไหวเมื่อต้องเผชิญกับสภาพรถติดในกรุงเทพ

กลับมาได้วันเดียวแม่ผมก็ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล สาเหตน่ะหรือ ก็เพราะแม่ป่วยอยู่แล้วดันเดินทางไปร่วมงานสึกของผมอีก ก็เลยแย่หนักลงไป

แต่ต้องไม่ต้องห่วงครับ หลังจากไปนอนโรงพยาบาลสองสามวัน แม่ก็หายดี

ส่วนผมน่ะหรือ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสาเหตของการป่วยไข้ของแม่ ก็เลยต้องไปนอนเฝ้าอยู่ตลอดสองสามวันที่โรงพยาบาล

ที่เคยกะว่าจะกลับมาปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดที่บ้านก็ถูกผัดผ่อนไปก่อน

กลับจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้านในช่วงอาทิตย์แรกก็ยังได้ปฏิบัติธรรมบ้าง ผสมผสานกับการอ่านหนังสือเตรียมไปเรียนและเร่งงานที่ยังค้างคาให้เสร็จสิ้น

จะมีช็อคทางจิตใจเข้ามาบ้างนิดหน่อยเมื่อได้รู้ว่า งานเขียนที่เคยทำมานานในช่วงชีวิตการเริ่มต้นเป็นอาจารย์ถูกวิจารณ์จากผู้ใหญ่ว่าห่วยแตก แต่ไม่นานก็ทำใจได้ แม้ผลการทำลายล้างจะยังเหลืออยู่ก็ตาม

มีอารมณ์เสียอยู่บ่อยๆกับพิษ Post Romantic ของความรัก (ฟ้าที่เคยใสเปลี่ยนไปเป็นพายุฝน) ฉุดกระชากให้โทสะที่เคยเก็บไปอยู่เบื้องลึกกลับมาครอบงำจิตใจอีครั้ง

มีหลุดขี้เกียจไปบ้างเมื่อคิดว่าตัวเองต้องใช้เวลาทำใจนิดหน่อย เลยยุติวัตรปฏิบัติให้ความสบายเข้ามาแทนที่

ทุกอย่างที่เคยคาดหวังไว้กลับเริ่มจางหายไป จิตใจที่เคยว่าสงบก็เริ่มวุ่นวายอีกครั้ง

สารภาพตามตรงว่าในอาทิตย์ที่สองที่กลับมาจากวัด ผมแทบลืมความตั้งใจที่มีมาแต่เดิมไปเกือบทั้งหมด ลืมให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมไปเสียสิ้น จนมารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อวานนี้เอง จึงย้อนกลับมาปฏิบัติอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อปฏิบัติเสร็จจึงทบทวนตนเองแลตั้งใจจะเขียนบันทึกความรู้สึกต่างๆขึ้นในวันนี้

จิตใจตอนนี้จะว่าสงบก็ไม่ใช่ วุ่นวายก็ไม่เชิง

กังวลอยู่บ้าง สบายใจก็มีอยู่ สับสนพอประมาณ

ถ้าเปรียบจิตใจเป็นก้อนหิน ตอนนี้ก็มีเชือกบางๆรัดมันไว้ไม่ให้ตกไปสู่ห้วงแห่งทุกข์เช่นอดีต

เชือกดังกล่าวไม่รู้จะขาดเมื่อไร?

.......................................

ป.ล. ขอเชิญเข้าเยี่มชมบล็อคใหม่ของหนุ่มไฟแรง คุณน้องเต่ายักษ์ของกระผมที่ taoyak.blogspot.com

Thursday, July 06, 2006

ลาบวช

ขอลาบวชหนึ่งเดือนครับ

ขอบคุณครับ

Wednesday, June 28, 2006

นึกถึงวันเก่าๆกับชุมนุมรักบี้

เมื่อวานนี้ได้ร่วมงานเลี้ยงของชุมนุมรักบี้ ที่จัดขึ้นในชื่องาน “โดมหนุ่ม-โดมชรา”

งานเริ่มในช่วงเย็นโดยเริ่มจากการแข่งขันรักบี้ระหว่างศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน แล้วจึงต่อด้วยงานเลี้ยงไปจนถึงเที่ยงคืน

ตัวผมเองได้ลงไปแข่งรักบี้แป๊ปนึง เพราะตอนแรกๆคนมันน้อย แต่ด้วยกำลังอันน้อยนิดก็ขอบายออกมาในเวลาอันสั้น ทิ้งให้เพื่อนๆพี่ๆลุยประชันกำลังกับรุ่นน้องกันต่อไปอย่างสุดมัน แหม่ เพื่อนๆรุ่นเดียวกันกับผมตั้งหลายคนยังฟิตกันเต็มที่ พลังล้นเหลือ อัดกันกับน้องๆมันมาก

ผลการแข่งคือ โดมชราพ่ายไปอย่างเฉียดฉิว หลังจากน้องๆเล่นเอาชุดรวมดาราปัจจุบันลงมาทำแต้มแซงในครึ่งหลัง

ตอนนี้ชุมนุมรักบี้ของธรรมศาสตร์ได้โตขึ้นมากเมื่อเทียบกับตอนที่ผมอยู่ ซึ่งมีผู้เล่นอยู่เกือบไม่พอแข่ง ปัจจุบันมีผู้เล่นจนเกือบแบ่งได้สองทีม ทั้งฝีมือแต่ละคนก็เข้าขั้นเทพกันทั้งนั้น ติดทีมชาติกันถ้วนหน้า

แต่ก็นะ ผมเองยังรู้สึกว่าตอนที่ผมอยู่เนี่ย ชุมนุมรักบี้เป็นชุมนุมที่สนุกสนานมากๆ เพราะเป็นแหล่งรวมตัวของพวกคนอารมณ์ดี อยู่ด้วยกันก็เฮฮากันได้ทั้งวัน แต่ถึงจะเฮฮากันมากแต่งานการก็ไม่เสีย เพราะก็ประสบความสำเร็จกันทั้งในเรื่องการแข่งขัน และด้านการเรียนก็เรียนกันจบสี่ปีเกือบทุกคน

ผมชอบความอบอุ่นของชุมนุมรักบี้ในช่วงที่ผมเรียนอยู่มากๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นที่ๆผมใช้เวลาในช่วงเรียนคลุกคลีอยู่ด้วยเกือบตลอด แม้ผมจะไม่ได้เป็นนักกีฬาที่มีฝีมือเก่งกาจ อะไรเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ แต่ก็เข้ามาฝึกซ้อม มาเก็บตัวด้วยอยู่ตลอด ที่มาก็ไม่ได้มาเพราะชอบกีฬาชนิดนี้เท่าไหร่ เพราะรักบี้เป็นกีฬาที่ต้องปะทะ แต่ผมมันตัวเล็กและก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่ที่มาซ้อมมาเก็บตัวก็เพราะชอบอยู่กับเพื่อนๆที่ชุมนุม

เวลาที่ผมถูกถามว่าสิ่งที่ผมประทับใจที่สุดในชีวิตมหาลัยคืออะไร? ผมมักจะนึกออกได้ทันทีว่าก็คือการที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของทีรักบี้ธรรมศาสตร์ที่ได้แชมป์รักบี้ในระดับอุดมศึกษาของประเทศ โดยในการแข่งครั้งนั้นเราเป็นม้ามืดของทัวร์นาเมนต์ล้มทีมที่ยิ่งใหญ่ในขณะนั้นอย่างจุฬาลงได้ในนัดชิง

การประสบความสำเร็จที่เกิดจากการร่วมมือร่วมใจกับเพื่อน มันมีเสน่ห์มากกว่าการทำอะไรสำเร็จอยู่คนเดียวจริงๆ เพราะมันจะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและสนุกสนานที่เกิดขึ้น รวมถึงความผูกพันเมื่อต้องผ่านอุปสรรคต่างๆไปด้วยกัน

มาเล่าเรื่องงานเลี้ยงกันต่อดีกว่า พอหลังจากแข่งรักบี้เสร็จน้องๆก็เชิญพวกรุ่นพี่ไปร่วมงานเลี้ยงของชุมนุม โดยมีอาหารและเบียร์ให้พวกพี่ๆตะบันกันได้อย่างไม่ยั้ง

ผมกับเพื่อนก็เลยได้มารวมตัวกันเล่นปัญญาอ่อนอีกครั้ง โดยแรกๆก็ยังไม่ค่อยออกลายกันเท่าไหร่เนื่องจากมีพวกพี่แก่ๆมาร่วมงานอยู่ โดยเฉพาะดันมีรักษาการรัฐมนตรีพงษ์เทพ เทพกาญจนา มาร่วมด้วย ก็เลยเกร็งๆกันไม่กล้าทำอะไรมาก

แต่พอพวกพี่อาวุโสเริ่มกลับกันไปแล้วนั่นล่ะ พวกรุ่นผมรวมถึงรุ่นพี่ที่ใกล้ๆกันที่เริ่มได้ที่แล้วก็เลยเล่นกันซะมันส์โดยการร้องคาราโอเกะรวมถึงแดนซ์กันเต็มที่ ก็เหลือเชื่อเหมือนกันที่แต่ละคนที่แยกย้ายกันไปทำงานต่างที่กัน ซึ่งบอกได้เลยว่าก็ต้องเผชิญกับภาระหน้าที่ความรับผิดชอบที่มากมาย เรียกได้ว่าต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ จะกลับมารวมตัวสนุกสนานเฮฮากันได้อีกครั้งเหมือนวันเก่าๆไม่มีผิด

ผมเองในปัจจุบันก็ต้องมาทำหน้าที่เป็นคนสอนหนังสือให้นักเรียนที่โตแล้ว ก็ต้องมาอยู่ในภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่ามากๆ บรรยากาศแบบนี้เรียกได้ว่าห่างหายไปนานมากๆ พอได้กลับมาเจออีกครั้งก็คิดถึงมันจริงๆ
คนเราพออยู่ในภาวะแวดล้อมที่ต้องรับผิดชอบสิ่งต่างๆมากมาย ก็จริงจังกับชีวิตไปมาก จนลืมเว้นที่ไว้ให้ตัวเองได้มีความสุขกับเพื่อนๆเหมือนตอนเป็นเด็ก

มาได้เจอกับเพื่อนๆชุมนุมรักบี้ครั้งนี้ ก็คงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะต้องห่างกันไปนานเพราะไปเรียน ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่ผมจะได้เก็บความทรงจำที่มีความสุขแบบนี้ไว้คอยนึก และเตือนให้ตัวเองนึกถึงมันในอนาคตว่า สุดท้ายแล้วความสุขมันก็อยู่ใกล่แค่เอื้อม ไม่ต้องไปฝ่าฝันอะไรมากมายเพื่อให้ได้ชื่อเสียงเงินทองมันก็มีความสุขกันได้

Wednesday, May 31, 2006

ท่าไม้ตาย

หลังจากเมื่อตอนเช้าต้องตื่นขึ้นมาเพราะปวดท้องจนทนไม่ไหว

ผมก็ใช้เวลาในห้องน้ำนึกอะไรสนุกๆออกมาได้

เหล่าคนที่ผ่านวัยเด็กในช่วงไม่เกินยี่สิบห้าปีที่ผ่านมาคงรู้จักคุ้นเคยกับคำว่าท่าไม้ตายเป็นอย่างดี

....เช่น ท่าไม้ตายหมัดดาวตกของเซนต์เซย่า (ใช่ป่าวไม่แน่ใจ) ท่าพลังคลื่นเต่าของซุนโงคู ท่าโชริวเคนของริว (จาก Street Fighter) รวมถึงท่ารวมตัวยิงบาซูก้าของเหล่าเรนเจอร์ทั้งหลาย

(ถ้าท่านไม่รู้จักอะไรพวกนี้ก็ต้องขอโทษด้วย เราคงอยู่คนละรุ่นกันจริงๆ)

ทั้งหมดล้วนเป็นท่าไม้ตายที่น่าตื่นตาตื่นใจ ใช้เพื่อเผด็จศึกศัตรูได้ภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียวหรือไม่กี่ครั้ง

เวลาเหล่าตัวเอกในเกมหรือการ์ตูนที่พูดมาหยิบมาใช้ทีก็น่าตื่นตาใจเป็นอันมาก

มาถึงท่าไม้ตายที่ผมนึกออกเมื่อตอนเบ่งอึเช้านี้ (อย่าคิดลึกเกินไป แม้ผมจะทำธุระส่วนตัวอยู่ก็ตามแต่ก็มีใจนึกถึงปัญหาสังคม) เป็นท่าไม้ตายที่เราพบได้ทั่วไปในสถานการณ์วิกฤตการเมืองปัจจุบัน

ทั้งจากเหล่า กกต. ทั้งสามที่ยังดึงดันทำหน้าที่ของตนอยู่ต่อไป แม้จะมีกระแสไล่ให้ออกไปจากผู้คนเกือบทั้งบ้านทั้งเมือง และแม้จะมีการกดดันแล้วกดดันอีกจากสามศาล

ทั้งจากประธานวุฒิสภา ผู้ทำหน้าที่หาทางออกให้วิกฤตของเหล่ากกต. แม้วิธีจะน่าเกลียดแบบโจ่งแจ้งไปบ้าง แต่ด้วยความภักดีอย่างสุดตัวต่อพรรคไทยรักไทย ท่านประธานก็ทำไปได้ (ท่านน่าจะลงสส.หลังจากเป็นสว.นะ ไหนๆก็สังกัดพรรคอยู่แล้ว)

สุดท้าย จากสถานการณ์ล่าสุด หลังจากที่มีการนำเอาภาพวีดีโอวงจรปิดมาเปิดเผย ผ่านไปสองวัน ท่านรมต.กลาโหม ก็ออกมาปฏิเสธได้แบบข้างๆคูๆมากๆว่า ในนั้นน่ะไม่ใช่กรู เป็นช่างภาพที่หน้าเหมือนกันต่างหาก
(....แหม่ คิดนานเหมือนกันนะท่าน มุขเนี้ย)

ทั้งหมดทำให้ผมพอสรุปได้ว่า ปัจจุบันเรากำลังต้องเผชิญกับ "ท่าไม้ตาย" ของเหล่าผู้มีส่วนทางการเมือง ซึ่งไม่รู้ว่าได้สืบทอดกระบวนท่าต่อมาจากท่านผู้นำสูงสุดกันหรือเปล่า แต่ใช้กันได้ดาดดื่นมากๆ

ท่าไม้ตายที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้ก็คือ

"กระบวนท่าหน้าด้าน"

ตอนนี้ผมก็ยังงงงวยอยู่กับกระบวนท่านี้อยู่ ไม่รู้จะแก้ท่านี้ได้ยังไง

ยังไงถ้ามีผู้ใดคิดวิธีแก้"กระบวนท่าหน้าด้าน"อันนี้ออก ก็ขอความกรุณาช่วยบอกผมทีเถอะ ผมคิดไม่ออก

Wednesday, May 03, 2006

ประชานิยมขายฝัน ปัจจุบันที่ถูกละเลย

วันนี้ขอเขียนเรื่องการเมืองบ้างครับ เห็นที่ผ่านมาไม่เคยเขียนลงในบล็อคเลย เผื่อจะกลายเป็นบล็อคที่มีสาระขึ้นมาบ้าง

จริงๆผมก็ติดตามเรื่องการเมืองมาบ้างพอควร โดยเฉพาะในฐานะคนดู..อ่าน..และพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้อื่นบ้าง

แต่ก็ยังไม่ได้เขียนอะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนมาประสบกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่นานของประเทศ

"วิกฤตการเมือง" ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีโอกาสได้ประสบกับตัวเอง เหมือนกับหลุดมาจากหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองไทย (ซึ่งมีแต่เรื่องน่าทึ่งถ้าค้นลงไปลึกๆ)ที่ผมเคยอ่านแล้วก็รำพึงกับตัวเองว่า

"อืม....อย่างงี้ก็มีด้วย"

เข้าเรื่องดีกว่า วันนี้ขอบ่นเรื่องนโยบายประชานิยมแบบเน้นแก้ปัญหาความยากจนของชาวรากหญ้า เพราะเป็นเรื่องที่สนใจมานานแล้ว และก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปเรียนในเร็ววันนี้ (ผมไปเรียนเน้นด้านการพัฒนา)

หลายๆคนคงเคยตั้งข้อสงสัยกับนโยบายที่ผ่านมาของรัฐบาลทักษิณ...ว่ามันมีปัญหาเช่นไร

ทำไมเหล่านักวิชาการหลายๆท่านถึงได้กร่นด่ากันหนักกันหนา ทั้งๆที่นโยบายหลายๆชุดก็เป็นนโยบายที่ถูกใจคนบางกลุ่มในประเทศเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะ...นโยบายที่เรียกกันว่า "ประชานิยม"

ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นนโยบายที่มุ่งช่วยเหลือคนยากคนจนในต่างจังหวัด เช่น กองทุนหมู่บ้านและเอสเอ็มแอล พักหนี้เกษตรกร และอื่นๆอีกมากมาย

นโยบายเหล่านี้ ชูให้คุณทักษิณกลายมาเป็นขวัญใจของชาวรากหญ้า เป็นอัศวินควายดำที่ยื่นมือมาช่วยเหลือพวกเขา กลายเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มีการชูนโยบายหาเสียงแบบ"ประชานิยมมุ่งสู่รากหญ้า" ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

หากจะถามว่าเป็นความสามารถที่สุดแสนจะน่าชื่นชมของคุณทักษิณหรือไม่? ส่วนตัวผมว่ามีส่วนแต่ไม่ทั้งหมด

ส่วนที่ไม่ทั้งหมดก็คือ...มันน่าทึ่งเหมือนกันต่างหาก ว่าที่ผ่านมาทำไมไม่เคยมีพรรคการเมืองใหญ่ๆพรรคใด หาเสียงโดยมุ่งนโยบายไปที่การแก้ปัญหาให้คนยากคนจน

ก็คงเป็นเพราะการเมืองไทยเพิ่งผ่านช่วงเผด็จการทหารมาไม่นานนัก และผ่านมาได้ก็เข้าสู่ช่วงการเมืองสกปรกอีกนาน ทำให้ปัจจัยสำคัญที่นำพรรคการเมืองไปสู่การเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลก่อนหน้านี้ไม่ใช่ "นโยบาย" แต่เป็น "เกมการเมือง"

กลับมาสู่ประชานิยมของคุณทักษิณอีกครั้ง

แล้วปัญหามันคืออะไร?

ผู้นำซึ่งประกาศกร้าว หลังจากเข้ามาอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานว่า "ความยากจนจะหมดไปใน 6 ปี" ได้ใช้ความพยายามมากมายในการสร้างฝันให้ชาวบ้านผู้ยากไร้

ผู้ซึ่งรอวันนี้มานานแสนนาน วันที่ตนเองจะได้พ้นวงจรอุบาทว์ โง่ จน เจ็บ โดยการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ไม่ใช่ซิ จากเทวดาในร่างนักการเมืองต่างหาก

คำสัญญาที่คุณทักษิณมีให้กับชาวบ้านที่ยากจนได้รับการตอบสนองด้วนนโยบายที่มุ่งเสริมสร้างรายได้ให้กับชาวชนบท

มีกองทุนให้กู้ยืม ให้ชาวบ้านได้ใช้เงินดังกล่าวไปสร้างการกินอยู่ที่ดีขึ้นให้กับตนเอง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม จะนำไปซื้อมือถือ บัตรเติมเงิน ทีวี ตู้เย็น หรือแสงโสมก็ได้

หรือถ้าดีหน่อยจะเอาไปซื้อรถกระบะมาใช้ส่งสินค้าเกษตรของตน ก็จะได้ช่วยเสริมการประกอบอาชีพไปในตัว

ฝันต่างๆของชาวชนบทถูกเสริมด้วยการทำ"การตลาด"อันดีเยี่ยมตลอดเวลาจากรัฐบาล สินค้าโอท็อปถูกนำเสนอเป็นสินค้าส่งออกชั้นดี มีการเตรียมตัวเช่าร้านค้าในนิวยอร์กเพื่อพาสินค้าไทยไปโกอินเตอร์

ชาวบ้านอาจจะได้ฝันเคลิ้มไปไกลกับ"การตลาด"ที่คุณทักษิณมีให้

แต่ปัญหาที่ตามมานั้นมันพะรุงพะรัง

การให้ความช่วยเหลือกับชาวชนบทเป็นเรื่องดี แต่แค่ให้ความช่วยเหลืออย่างเดียวมันไม่พอ

มีปราชญ์ด้านการพัฒนาเคยกล่าวไว้ว่า "อย่าคิดว่าแค่หวังดีแล้วจะเพียงพอ ความหวังดีโดยไม่พินิจพิเคราะห์สิ่งที่ทำลงไปนั่นล่ะจะกลายเป็นปัญหา"

กับความช่วยเหลือที่คุณทักษิณมีให้นั้น ถ้าเป็นไปเพื่อแก้ปัญหาความยากจนจริงๆก็น่าชื่นชมอยู่
แต่ถ้าไปไปเพื่อ "คะแนนความนิยม" มากกว่าละก็ มันก็ไม่ต่างจากเล่ห์กลในการเข้าสู่อำนาจ

ปัญหาที่เกิดจากนโยบายประชานิยมของคุณทักษิณนั้น เรื่องใหญ่ก็คือ คุณทักษิณเน้นนโยบายที่เป็นรูปธรรม การช่วยเหลือที่เห็นได้ชัดๆว่าช่วย เน้นการให้แบบเห็นๆว่าช่วย เช่น ให้เงิน ช่วยลดหนี้ แจกของ สร้างนู่นสร้างนี่ให้(สิ่งเหล่านี้ถ้าดูเรียลลิตี้โชว์แก้จนที่อาจสามารถก็คงพอเห็นภาพการแก้จนแบบทักษิณ)ซึ่งเห็นผลได้ชัดในระยะสั้น

คุณทักษิณไม่เน้นการพัฒนาศักยภาพในการช่วยเหลือและพัฒนาตนเอง เช่ย การพัฒนาการศึกษา การพัฒนาทักษะต่างๆ การสร้างชุมชนให้แข็งแกร่ง ให้พึ่งตนเองพัฒนาตนเองได้ สาเหตุที่ไม่เน้นก็คงเพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเห็นผลได้ยาก ต้องใช้เวลานาน ไม่เหมาะกับการทำการตลาดทางนโยบาย

และที่สำคัญก็คือ....

นโยบายประชานิยมแบบคุณทักษิณได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติของชาวรากหญ้า

มันทำให้เขาเฝ้ารอการช่วยเหลือ คิดว่ามันหนึ่งจะมีคนมาพาเขาออกไปจากความเป็นอยู่ที่ยากแค้น

กับทัศนคติที่คุณทักษิณสร้างไว้ อาจจะไม่เกินไปนักที่จะบอกว่า ต่อจากนี้ไม่ว่าพรรคการเมืองใดก็ตามที่ต้องการจะประสบชัยชนะในการเลือกตั้ง ก็ต้องมี "ประชานิยมขายฝัน" ไว้ให้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งยังประสบปัญหาความยากจนอยู่เช่นกัน

นี่ล่ะคือปัญหาพะรุงพะรังที่เกิดขึ้นตามมา

เพราะการพัฒนาที่ยั่งยืน และที่จะประสบความสำเร็จได้ดีที่สุด ก็คือการพัฒนาที่เกิดจาก "การพัฒนาตนเอง"
คุณทักษิณได้ดึงความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาของตนเองออก และแทนที่ด้วย "ความฝัน"

ความฝันนั้นแม้มันจะหอมหวล ชวนให้คนเรามีความสุขไปได้ในยามที่นึกถึง

แต่ก็อย่าลืมว่าไม่มีความฝันอันใด จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตจริงได้ ถ้าคนที่ฝันไม่พยายามพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง

ชุมชนในชนบทของไทยในเวลานี้ก็เหมือนกัน ที่ต่างก็ติดอยู่ใน"ความฝัน"

หารู้ไม่ว่าวันหนึ่งตนเองอาจจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า ชีวิตจริงก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นกว่าแต่ก่อนซักนิด มิซ้ำอาจแย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อวงจรการหมุนเวียนหนี้ที่ตนเองสร้างไว้จากการช่วยเหลือของรัฐบาลเกิดมีปัญหา หรือเมื่อสายสัมพันธ์ที่เคยเชื่อมโยงชุมชนให้แข็งแกร่ง ทุนทางสังคมที่เคยสร้างความเอื้ออาทรแก่กัน ถูกแทนที่ด้วยความสัมพันธ์แบบทุนนิยมสามานย์ เขาอาจพบตนเองโดดเดี่ยวบนระบบที่ต่างคนต่างเดินตาม self-interest ของตนเต็มที่

ถึงวันนั้นการแก้ปัญหาความยากจนของไทย อาจต้องไปเริ่มแก้ที่ปัญหาที่ถูกสร้างขึ้นใหม่เหล่านี้ก่อน แล้วจึงค่อยย้อนกลับมาแก้ปัญหาที่มีมาแต่เดิม

กับวันนี้ที่เราคนไทยต่างมุ่งหวังว่าวิกฤตการเมืองจะถูกแก้ไขได้ด้วยการแก้"รัฐธรรมนูญ"
เราอาจจะต้องถามตนเองให้มากขึ้นว่า แก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียวมันจะเพียงพอหรือ?

โครงสร้างเชิงสถาบันอันบิดเบี้ยวของสังคมไทยปัจจุบันคงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ "รัฐธรรมนูญ" เพียงอย่างเดียวแน่นอน แต่เกิดขึ้นที่ตัวสังคมเองด้วย

"การปฏิรูปการเมือง" ไม่ควรถูกเน้นจนกลายเป็นเป้าหมายหนึ่งเดียว แต่ควรเป็นหนึ่งในกระบวนการ "ปฏิรูปสังคม" ที่จะแก้ปัญหาในด้านต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ การสร้างองค์กรภาคประชาชนที่เข้มแข็ง การสร้างความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย

เราคงต้องพินิจพิเคราะห์ และตั้งคำถามกับคำกล่าวต่างๆที่ออกมาจากนักการเมืองให้มากขึ้น เพราะวันนี้ลักษณะการตีความเรื่องที่น่าจะง่ายหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับจริยธรรม กลับถูกทำให้ยาก ด้วยคำอ้างเช่น ไม่ผิดกฏหมาย ใครๆเขาก็ทำ หรือเก่งก็มีสิทธิโกงได้

และกับนโยบายประชานิยมขายฝัน เราคงต้องพยายามทำความเข้าใจลักษณะของมันให้มากขึ้น

เราคงไม่สามารถว่าอะไรคนชนบทที่ชื่นชอบนโยบายเหล่านี้ได้ เพราะเขาได้ประโยชน์จากมันจริงๆ

แต่เราคงพอเฝ้าระวัง และให้ความรู้กับชาวชนบทบางกลุ่มที่ครุ่นคิดกับสิ่งที่เขาได้รับได้ แล้ววันหนึ่งความคิดอ่านของเขาก็อาจขยายไปสู่คนอื่นๆและชุดให้พวกเขาตื่นจาก"ความฝัน" ที่ถูกสร้างขึ้นกลับมาสู่ "ความจริง" ที่พวกเขาจะต้องเผชิญและก้าวฝ่าปัญหาของตนไปด้วยตนเองเป็นหลัก

ขอทิ้งท้ายด้วยคำกล่าวของอดีตประธานาธิบดีบราซิล ประเทศซึ่งผ่านยุคนโยบายประชานิยมมาก่อนหน้าเรา และคงได้เรียนรู้อะไรมามากพอควรเกี่ยวกับ"ประชานิยมขายฝัน"

"No one lives forever on unfulfilled promises, on thwarted hopes"

(FERNANDO HENRIQUE CARDOSO, อดีตประธานาธิดีบราซิล)

Monday, April 10, 2006

ครั้งแรกกับการสอนเศรษฐศาสตร์แบบเต็มๆคอร์ส

ต้องขอโทษทุกท่านด้วยที่หายไปเสียนาน

พอดีหลังจากที่ปิดคอร์สการสอนวิชาเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นให้กับทางคณะ และผ่านพ้นภาระการตรวจข้อสอบอันหนักอึ้ง เนื่องจากคอร์สดังกล่าวมีจำนวนนักศึกษาลงทะเบียนมากเป็นประวัติการณ์ (เกือบ 900 คน)ก็โดนโรคไม่อยากทำอะไรเข้าเล่นงาน

เล่นบวกกับสภาวะการเมืองอันแสนอึดอัด เลยพลอยทำให้วันๆกระผมรู้สึกไม่อยากทำอะไร เปิดแต่บทความ ข่าว เว็บบอร์ด อ่านไปเรื่อย มิซ้ำพอตกดึกก็หาลู่ทางไปเสวนาการเมือง รวมถึงไปร่วมชุมนุมทางการเมืองอยู่บ่อยๆ

ขี้เกียจตัวเป็นขนจนรู้สึกทนไม่ได้แล้ว เลยต้องขอลุกมาเขียนอะไรบ้าง

แต่ครั้งนี้คงไม่ขอเขียนเรื่องการเมืองนะครับ พอดีกำลังเขียนอยู่อีกอันแต่ไม่เสร็จเสียที ไว้เสร็จแล้วค่อยมาลงละกัน

ที่อยากจะเขียนในครั้งนี้คงเป็นประสบการณ์ต่างๆที่ได้จากการสอนวิชาเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ครั้งแรกแบบเต็มๆคอร์สให้กับทางคณะ

จริงๆแล้วผมเองก็มีประสบการณ์ในการสอนเศรษฐศาสตร์มาบ้าง ในฐานะผู้ช่วยสอนและในฐานะติวเตอร์ ทำให้การสอนไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด

แต่พอได้มาสอนเองแบบเต็มๆคอร์ส ก็เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น และเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถเลยทีเดียว

เพราะตัวที่ได้มาสอนนั้น เป็นวิชาที่ต้องสอนให้กับเด็กนอกคณะ ที่ไม่ได้เข้ามามหาวิทยาลัยเพื่อเรียนเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาหลัก แถมวิชาดังกล่าวนั้น ได้กิตติศัพท์มาอย่างยาวนานกับเหล่าเด็กนอกคณะว่าไม่สนุก น่าเบื่อ และยาก

ถึงขั้นที่ว่า พอผมรู้ว่าทางคณะได้จัดให้ผมสอนตัวดังกล่าวและไปเล่าให้อาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งฟัง ท่านถึงกับแนะนำให้ผมไปขอสอนตัวอื่น

แต่ผมก็ดันทุรังจะสอนตัวนี้ต่อไป เพราะผมเชื่อว่าวิชาเศรษฐศาสตร์มีดีแน่นอนผมถึงได้ชอบ และเมื่อมันมีดี ผมก็ต้องทำให้มันสนุกสำหรับคนอื่นๆได้ซิ

.................................

มาที่จุดเริ่มต้นของคอร์สนี้ดีกว่า

ตั้งแต่แรกเลยที่รู้ว่าต้องทำการสอนวิชาที่มักจะถูกวิจารณ์ว่าเป็นจุดอ่อนของทางคณะมายาวนาน ผมก็หมายมั่นเต็มที่ว่าจะต้องเปลี่ยนมันให้ดีขึ้นให้ได้

ผมเคยได้เรียนวิชาเกี่ยวกับบริหารธุรกิจตัวหนึ่งตอนไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา เป็นตัวที่ผมประทับใจมากๆ เพราะอาจารย์สอนดี มีเรื่องตลกๆคมๆให้ฟังอยู่เรื่อยๆ และเทคนิคการสอนแกก็แพรวพราวเอามากๆ มีการใช้สื่อการสอนทุกรูปแบบเต็มที่ทั้งวีดีโอ คอมพิวเตอร์

ที่ผมประทับใจที่สุดก็คือ ในคาบสุดท้ายพอแกสอนจบปุ๊ป เด็กทุกคนในห้องลุกขึ้นปรบมือให้แกพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายเป็นเวลาตั้งนาน

ตั้งแต่นั้นภาพดังกล่าวก็ติดในหัวผม ผมรู้สึกว่ากับวิชาเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นนี้ ผมต้องทำให้เด็กที่มาเรียนรู้สึกสนุกและเข้าใจเศรษฐศาสตร์ เหมือนอย่างที่ผมสนุกและเข้าใจตอนเรียนวิชาที่อเมริกาตัวนี้

ว่าแล้วผมก็เตรียมการสอนโดยหมายมั่นว่าจะต้องมีอะไรแปลกใหม่ มีเรื่องที่น่าสนใจ ที่สนุกๆและได้ประโยชน์

ผมลองเปลี่ยน outline ของตัวคอร์สไปบ้างนิดหน่อย แต่ก็รู้ว่าคงเปลี่ยนอะไรมากไม่ได้ เพราะ outline ดังกล่าวต้องใช้ร่วมกับอาจารย์ผู้สอนท่านอื่นๆอีกหลายคน ที่ร่วมทีมสอนด้วยกัน (คือที่คณะผมมีระบบการสอนแบบที่แยกห้องสอน แต่ต้องมาสอบรวมกัน ก็เลยต้องบังคับให้ทุกห้องใช้ outline เดียวกัน)

พอมาประชุมเรื่อง outline กับผู้สอนคนอื่นๆครั้งแรก ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรรุนแรงเกินไป เนื่องจากผมพยายามผลัก outline อย่างที่ผมร่างมาให้กลายมาเป็น outline ของคนอื่นๆไปด้วย ก็ไปนั่งเถียงๆๆ โอ๊ะ ไม่ใช่ ไปนั่งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่นาน (โดยที่ผมเป็นเถียง) กว่าจะหาจุดลงเอยกันได้

ผมก็เกรงๆอาจารย์ท่านอื่นๆโดยเฉพาะที่อาวุโสกว่าผมเยอะอยู่เหมือนกัน เพราะผมเองก็เด็กแสนเด็ก จบมาก็แค่ปริญญาตรี (วุฒิต่ำที่สุดของคณะ) แต่ดันไปนั่งขัดกะเขาอยู่นาน

แค่ outline ก็เริ่มเหนื่อยแล้ว แถมยังเริ่มรู้สึกอยู่ลึกๆว่ากลายเป็นคนก้าวร้าวไปพอควร โดยเฉพาะกับมาตรฐานแบบไทยๆ

.............................................

ถึงวันสอนจริง พอเข้าไปสอนครั้งแรกก็อึ้งไปพอควรกับขนาดและสภาพอันทรุดโทรมของห้องบรรยาย

คือจำนวนนักเรียนเนี่ย ผมก็พอรู้อยู่แล้วว่ามันเยอะมากๆ คือประมาณร้อยห้าสิบคน

แต่พอมาเจอสภาพห้องเข้าไป ก็พอรู้เลยว่างานนี้หินแน่ๆ เพราะห้องบรรยายที่ได้นั้น เป็นห้องที่ไม่เหมาะกับการบรรยายเอาเสียเลย แสงทึมๆ จอprojectorไม่ค่อยชัด เขียนกระดานไม่ได้ เพราะไม่มีกระดาน ต้องใช้เครื่องฉายแผ่นใสแทน ซึ่งผมเองแพ้ทางเอามากๆ เนื่องจากเป็นคนลายมือเหมาะสำหรับเขียนความลับ (คือเขียนอะไรอ่านรู้เรื่องอยู่คนเดียว พูดง่ายๆ ลายมือห่วยสุดๆ)นอกจากนี้ไมโครโฟนที่มีให้ใช้นั้น สายไมค์มันสั้นมากครับ คือเดินไปไหนไม่ได้เลยนอกจากรอบๆโต๊ะสำหรับอาจารย์หน้าห้อง

จริงๆแล้วที่อยากได้มากกว่าน่าจะเป็นห้องเล็กๆ นักศึกษาประมาณห้าสิบคน สอนไปคุยไป แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ถามได้ตลอดเวลา

ลองเอากรณีศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ที่ทำมาให้นักศึกษาเล่นดู กะว่าจะดึงความสนใจมาได้บ้าง ปรากฏว่าปฏิกริยาตอบรับเกือบเป็นศูนย์ เพราะห้องใหญ่เกินไป ไม่มีใครกล้าแสดงออกเท่าไหร่ ก็เลยต้องชงเอง เล่นเอง ขำเอง อยู่คนเดียวหน้าห้อง

กลับมาจากสอนครั้งแรกก็รู้สึกหนักใจเหมือนกัน คิดว่าคงต้องปรับสไตล์บ้าง ที่เตรียมแบบเล่นสนุกๆไว้คงใช้ไม่ได้ทั้งหมด

ตอนแรกๆที่สอนนี่ เป็นโรควิตกจริตมากเลยครับ คือ คืนก่อนวันสอนผมจะทบทวนทุกอย่างที่จะทำการสอนแบบคำต่อคำเลย พอตอนนอนก็จะเจอแต่เรื่องที่จะสอนวนไปวนมาในหัวในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ยิ่งตอนแรกๆจะกลัวตื่นไม่ทันเลยต้องไปนอนที่หอพักที่รังสิต ก็จะนอนไม่ค่อยหลับในบางครั้งเพราะจะไปเจอห้องที่ฝุ่นเยอะๆ (ผมเป็นโรคภูมิแพ้)

ตอนสอนครั้งแรกๆก็คงดูเกร็งๆมั้งครับ ก็พยายามหามุขไปเล่นอยู่เรื่อยๆ แต่รู้สึกว่าจะฝืด นักศึกษาก็ไม่ค่อยฮาเท่าไหร่ (อย่าเข้าใจผิดว่าผมไปเล่นตลกคาเฟ่นะครับ) แต่จะว่าไปก็เป็นช่วงที่ตื่นเต้นดีนะครับ เพราะเวลาจะสอนทีเนี่ยก็จะกลัวอธิบายไม่รู้เรื่อง

แต่ก็โชคดีที่มีบุญเก่าให้กินพอควร คือผมเองเคยไปช่วย อ.ปกป้อง กับ อ.วรากรณ์ สอนเด็กมัธยมปลายที่วชิราวุธ ก็เลยซึมซับเทคนิคการสอนมาบ้าง รวมถึงเคยเป็นติวเตอร์ให้เด็กภาคภาษาอังกฤษมาตั้งปี ด้วยมีประสบการณ์มาบ้างก็เลยพอเอาตัวรอดได้ครับ

ผ่านไปซักสามสี่ครั้งก็เริ่มเข้าที่ครับ เริ่มปรับตัวให้เข้ากับสภาพได้ แล้วก็เริ่มสื่อสารกับนักศึกษาได้มากขึ้น ได้รับปฎิกริยาตอบรับมากขึ้น

ก็เป็นช่วงเวลาที่สนุกดีครับ มีความสุขเวลาเตรียมสอน ได้นั่งนึกว่าจะอธิบายเรื่องนั้นเรื่องนี้ยังไงให้น่าสนใจ บางครั้งก็หาอะไรเล่นในห้องบ้าง ผมว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่สนุกตื่นเต้นที่สุดเลย นั่งนับเวลารอว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาสอน

จะมีรู้สึกอึดอัดบ้างนิดหน่อยก็ตอนคุยกับนักศึกษาบางครั้ง คือผมเองจะถามนักศึกษาที่เรียนด้วยหลายคน ว่าที่สอนไปเป็นยังไงบ้าง รู้เรื่องไหม อยากให้ปรับตรงไหนบ้าง บางครั้งพอถามไปก็เจอคำตอบแปลกๆกลับมา เช่น อาจารย์สอนให้คิดมากเกินไป ไม่สอนให้จำไปเลยง่ายดี ผมก็เก็บมางงๆ แล้วก็เศร้ากับระบบการศึกษาไทยเล็กน้อย

แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมากครับ ก็พยายามสอนต่อไป เข้าใจว่าช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่สอนได้ดีพอควร เพราะเป็นเนื้อหาที่ตัวเองชอบตอนเรียนด้วย ก็จะพยายามหาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาเล่าให้นักศึกษาฟัง

เวลาผ่านไปเร็วเอามากๆ แบบไม่นานก็ถึงสอบกลางภาคแล้ว

ทีนี้เจอปัญหาแรกเลยครับ คือผมสอนไม่ทันเนื้อหาที่จะสอบกลางภาค ก็พยายามจะหาทางสอนเพิ่ม แต่ก็มีข้อขัดข้องบางประการ ทำให้พาลต้องมีความขัดแย้งกันไปนิดหน่อยกับอาจารย์ท่านอื่น ช่วงนี้ก็เครียดครับ แต่สุดท้ายก็ได้ทางออกและก็สอนได้ทันจนได้

.........................................

พอหลังสอบกลางภาคเสร็จ ก็มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีเกิดขึ้นครับ

คือด้วยความที่ตั้งใจสอนมากตอนก่อนสอบมั้งครับ จำนวนนักศึกษาที่มาเข้าเรียนก็เลยเพิ่มขึ้น ก็มีย้ายมาจากห้องอื่นบ้างพอควร นักศึกษาบางครั้งก็เต็มห้องเลยครับ แบบโดนเขียนในใบประเมินว่าที่นั่งไม่พอ ฮะแฮ่ม เรตติ้งดีครับ

แต่ว่า ไอ้มาเรียนเนี่ยก็ดีครับ แต่มันมาแล้วไม่เรียนนี่สิครับ คงเพราะเพิ่งสอบเสร็จ พวกพี่แกก็เลยรู้สึกสบายใจ พอเข้ามาเสร็จก็คุยเลยซะงั้น โถ่

เสียงคุยก็เลยดังเอามากๆครับ น่าแปลกที่ช่วงก่อนสอบกลางภาคผมไม่เจอปัญหานี้เลย มาเจอเอาหลังสอบกลางภาค

ประกอบกับช่วงหลังสอบกลางภาคเนี่ย สุขภาพย่ำแย่ครับ เป็นหวัดไม่หายซักที สาเหตุก็เนื่องมาจากดันไปเที่ยวกินเหล้าเมายามาซะเยอะ แถมยังไปพยายามพาคนดีไปเข้าสู่อบายมุขอีก พระเจ้าเลยลงโทษครับ

เวลาสอนเงี้ย คอเจ็บสุดๆ พูดไปก็เจ็บคอเหลือเกิน เจ็บไปถึงหน้าอกท่อนบนเลยครับ

แต่ก็ดีไปอย่างนะครับ คือตอนแรกๆเนี่ย ผมจะโดนวิจารณ์ว่าใช้เสียงไม่เป็น คือเนื่องจากห้องมันทึมๆและมันดูดเสียง ก็จะพยายามพูดเสียงดังเข้าไว้ เลยไม่มีจังหวะในการพูดที่นุ่มนวล (คำวิจารณ์โดยนักร้องหนุ่มที่เป็นอาจารย์ เอ๊ะไม่ใช่!.. อาจารย์ที่เป็นนักร้องหนุ่มที่คณะครับ) แต่พอเป็นหวัดแล้วไม่มีแรงพูดดังๆครับ ก็เลยทำให้เป็นธรรมชาติในการพูดมากขึ้นมั้งครับ

ที่แย่ๆตอนนี้คือนักศึกษาคุยโคตรเก่งเลยครับ ผมก็ไม่มีแรงพูดแข่ง เล่นเอาฟิวส์ขาดไปวันนึงครับ ก็เลยด่าซะหนึ่งชุด ปรากฏว่าเงียบกริบเลย ผมเองวันนั้นเป็นอะไรก็ไม่รู้ครับ รู้สึกเหมือนวันนั้นของเดือน มันหงุดหงิดๆสุดๆ พอดียิ่งเจอนักศึกษาที่เคยบอกเราไว้ว่าจะไม่เข้าเรียนเพราะเรียนมาแล้ว ดันเข้ามานั่งเล่น มาคุยกับเพื่อนอยู่ต่อหน้าต่อตาที่หน้าห้อง ก็เลยหลุดเลย เกิดมาไม่เคยด่าใครเป็นชุดๆ ก็เลยได้ลองครั้งแรกเลยครับ

พอว่าไปเสร็จก็มารู้สึกเสียใจทีหลังเหมือนกัน ก็รู้สึกว่าคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่

แต่ก็ดีนิดหน่อยครับ คือหลังจากนั้นเวลาผมเริ่มบ่นว่าเสียงดังเขาก็จะเงียบครับ แม้ไม่นานก็จะกลับมาดังใหม่ก็เหอะ แต่ก็ยังกลัวๆบ้าง

โอ้ที่น่าดีใจอีกเรื่องคือ ผลประเมินการสอนตอนกลางภาคเนี่ยค่อนข้างดีมากครับ ก็รู้สึกมีกำลังใจอยากตั้งใจสอนให้ดีๆต่อไปครับ

.............................................

ก็สอนๆไปจนเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายๆ ซึ่งเป็นช่วงของเนื้อหาวิชาที่เป็นเศรษฐศาสตร์มหภาค

ถึงตอนนี้ผมก็จะพยายามเล่าเรื่องเศรษฐกิจไทยให้มากๆ ก็จะโยงไปเข้าเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองค่อนข้างเยอะครับ

จริงๆช่วงนี้อยากให้จำนวนนักศึกษามันน้อยกว่านั้นมากเลยครับ เพราะมีเรื่องอยากชวนคุยเยอะแยะไปหมด ผมเองก็อยากได้ความคิดเห็นจากนักศึกษาน่ะครับ แต่ด้วยสภาพห้องอย่างที่บอกไป เวลาสอนก็เลยได้แต่เล่าให้เขาฟังอยู่ฝ่ายเดียว เวลาถามก็ต้องขอคำตอบเป็นใช่กับไม่ใช่ ถ้าใช่ให้พยักหน้า อะไรประมาณนั้น

มาถึงช่วงนี้ก็สอนไม่ทันอีกแล้วครับ

ผมเองเป็นอะไรก็ไม่รู้ อาจารย์ผู้ใหญ่เขามักจะเล่าให้ฟังว่า สอนครั้งแรกเนี่ย มักจะสอนเสร็จก่อนเวลา พูดไปไม่นานก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ที่เตรียมมาหมดแล้ว แต่เวลายังเหลือ แต่กับผมเนี่ยตรงข้ามเลยครับ ไม่เคยสอนได้ทันที่เตรียมมาเลย ก็คงเป็นความสามารถในการโม้มันพาไปมั้งครับ เลยพูดได้น้ำไหล ไฟดับ เด็กหลับ เฮ้ย ไม่หลับครับไม่หลับ ตั้งแต่แรก

เนื่องจากเวลาที่มีอยู่ไม่พอก็เลยอดสอนบางเรื่องที่อยากสอนไปครับ แต่ก็ยังดีที่เข็นจนทันเนื้อหาที่ต้องสอบทันจนได้

วันสุดท้ายที่สอนก็รู้สึกดีครับ จริงๆกะจะพูดอะไรซึ้งๆก่อนปิดคอร์สซะหน่อย แต่พูดไปพูดมามันดันออกขำๆน่ะครับ ก็แบบว่ากะจะบอกเขาว่าที่เรามาสอนเนี่ย เราอยากจะทำให้เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจสำหรับพวกเขานะ เอ แต่พูดไปพูดมามันกลายเป็นฮาๆไป

สอนจบก็ไม่มีเสียงปรบมืออะไรให้ได้ยิน (อย่างที่เคยฝัน) แต่ผมก็รู้สึกดีนะครับ คือผมรู้สึกได้ว่ามันมีความสุขอยู่ในตัวเองน่ะครับ มีความสุขที่ได้ทำอะไรดีๆให้กับคนอื่น ได้ทุ่มเทเต็มที่ที่จะถ่ายทอดวิชาความรู้ และก็ความรักในวิชาที่เราเลือกเป็นทางเดินให้กับชีวิตตัวเองให้กับนักศึกษาครับ

ก็คงเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่จะได้สอน เพราะเดี๋ยวเทอมหน้าก็ไม่ต้องสอนแล้วเนื่องจากคณะให้เตรียมตัวไปเรียนต่อ (ได้ที่เรียนเรียบร้อยแล้วล่ะครับ)

.............................................

มานั่งนึกย้อนไปแล้ว ผมรู้สึกดีใจครับที่ตัดสินใจมาเป็นอาจารย์

เคยถามตัวเองในช่วงก่อนที่จะตัดสินใจเหมือนกันครับ ว่าจะตัดสินใจถูกเหรอ จะมีความสุขกับงานที่เงินเดือนก็ไม่เยอะ แถมยังค่อนข้างจะโดดเดี่ยว (แบบไม่ได้ทำงานกับคนอื่นๆมากมาย เหมือนเวลาอยู่บริษัท)

มาคราวนี้ล่ะครับ รู้สึกว่ามันมีความสุขดีจริงๆ เวลาที่ได้สอน ได้พยายามถ่ายทอดความรู้

นอกจากนี้ก็ยังรู้สึกภูมิใจอยู่ลึกครับ ว่าเราได้ช่วยให้มาตรฐานการสอนของวิชานี้มันดีขึ้นมาบ้าง จากที่นักศึกษาเคยบ่นว่าน่าเบื่อและยาก มาตอนนี้ก็มีมาคุยว่าเขาสนใจเศรษฐศาสตร์ และก็อยากต่อโทเป็นวิชาเศรษฐศาสตร์อยู่เยอะทีเดียว

ที่ต้องชื่นชมก็คือทีมงานอาจารย์ที่สอนวิชานี้ด้วยกัน ที่เป็นอาจารย์ใหม่อยู่เยอะทีเดียว หลายๆคนก็ทุ่มเทมากๆเลยครับ ทำให้นักศึกษาเขารู้สึกว่าอาจารย์ต่างก็เต็มที่ในการสอนกันทุกคน อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่าคงไม่มีใครกล้าว่าว่าวิชานี้อาจารย์ไม่ตั้งใจสอนล่ะครับ (ยกว้นบางห้องนะครับ ที่ยังคงมาตรฐานเดิมอยู่)

ก็หวังเต็มที่ครับ ว่าวันข้างหน้าหลังจากที่เรียนจบแล้วจะได้กลับมาสอน มาถ่ายทอดวิชาความรู้ที่มีให้กับคนรุ่นต่อไป

วันนี้ผมเองก็ยังถือว่ารู้น้อยครับ ยังไม่มีอะไรจะไปถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ๆได้มากมาย แต่อย่างน้อยสิ่งที่ได้รู้จากการได้สอนเต็มๆคอร์สครั้งแรกนี้ ก็คงจะเป็นความสุขที่เกิดขึ้นเวลามามองย้อนกลับไปมั้งครับ ผมว่าความรู้สึกแบบนี้ล่ะครับ ที่เป็นแรงผลักดันของชีวิตคนเป็นอาจารย์ทุกคน ความรู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ได้ช่วยสร้างอะไรบางอย่างที่ดีให้เกิดขึ้นกับสังคม

เอ่อ เขียนมาซะยาวเชียว เดี๋ยวขอไปทำงานก่อนดีกว่าครับ ตอนนี้จะสลัดความขี้เกียจออกจากตัวเองแล้วล่ะครับ

แล้วจะกลับมาเขียนต่อเร็วๆนี้นะครับ