Sunday, November 12, 2006

การเรียนและการตั้งคำถาม

ขอบ่นเสียหน่อย สักสองสามเรื่อง

ช่วงนี้กระผมต้องผจญกับภาระการเรียนที่นักมาก การใช้ชีวิตแต่ละวันนั้นต้องถือว่าอยู่ในวิสัย "ชีวิตเศร้า" เลยทีเดียว เนื่องจากเวลาทั้งหมด ยกเว้นกินข้าวและนอน ถูกใช้ไปกับการเข้าเรียน อ่านหนังสือ และเขียน essay ส่ง แบบว่าชีวิตเหลือแค่มิติเดียว มิได้ออกกำลัง ฟังเพลง หรืออ่านหนังสืออ่านเล่นแต่อย่างใด

กับการเรีียนที่หนักหน่วงนั้น ก็พอบอกได้ว่า มันก็เป็นเช่นนั้นนั่นแล ตอนเลือกมาก็ไม่รู้ว่ามันจะหนักหนาอะไรมากมาย พอมาถึงก็ได้ยินเสียงเล่าลือว่าคอร์สที่เลือกมานั้นระดับความทรมานใช้ได้ทีเดียว พอเรียนไปจริงๆก็ถึงบางอ้อ มันทรมานใช้ได้ อย่างนี้นี่เอง!

แต่ท่ามกลางภาระงานหนักหน่วงและความเครียดฟุ่งกระจายเหล่านี้ ก็มีเรื่องน่าคิดผุดขึ้นในหัวสองสามเรื่อง

อย่างแรกเนี่ย คือความต่างระหว่างการเรียนป.ตรีกับการเรียนระดับ grad
เพิ่งมาเข้าใจว่า โอ้ เราต้องถูกฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วง เพื่อให้สามารถผลิตงานวิชาการชั้นดีได้ในอนาคต

ขออาจารย์ทั้งหลายที่เคยต่อว่าผลงานกระผมเมื่อครั้งเข้ามาเป็นอาจารย์ป.ตรีโปรดเข้าใจ กระผมเพิ่งทราบแล้วว่าการฝึกฝนเพื่อเข้าสู่โลกวิชาการอย่างจริงจังนั้นเป็นเช่นไร เทียบกันไม่ติดทีเดียวกับตอนเรียนป.ตรี

หวังได้ว่าเมื่ออ่านการฝึกโหดเหล่านี้ไปแล้วงานกระผมจะมีพัฒนาการชัดเจน

โอ้ ขอหยุดแก้ตัวก่อน มีเรื่องอยากบ่นและกล่าวโทษผู้อื่น

คือต้งแต่มาเรียนระบบอังกฤษเนี่ย เห็นปัญหาอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเองชัดเจน

คือระบบการเรียนที่ประสบอยู่ในปัจจุบันนั้น เน้นการเรียนแบบอ่านเอง แล้วไปห้องเรียนเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ประเด็นต่างๆแข่งกัน

อาจเรียกได้ว่าเป็นการเรียนเชิงวิพากษ์

ทีนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวผมในปัจจุบัยก็คือ ผมรู้สึกถึงความสามารถที่อ่อนด้อยกว่าประชามคมโลกจากยุโรปและอเมริกาด้านการตั้งคำถามและ การวิพากษ์วิจารณ์มากๆ

คือรู้สึกว่าตัวเองเนี่ย หากเข้าเรียนแล้วเข้าใจที่อาจารย์พูด อ่านหนังสือรู้เรื่อง จำประเด็นต่างๆที่สำคัญของหนังสือได้ก็น่าจะพอแล้ว อาจถือว่าดีมากแล้วด้วยซ้ำ

แต่พอต้องมาตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองอ่าน แบบว่าประเด็นไหนที่เราไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยเพราะอะไร เราคิดว่าผู้เขียนขาดอะไรไปบ้าง ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรเหล่านี้ได้ไม่ดีเลย

จะว่าไปแล้วเลยได้นึกย้อนกลับไปในอดีต และพบว่าอืม…จริงๆก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนนี่น่า

ตั้งแต่เริ่มเรียนอนุบาล ยันจบป.ตรี ดูเหมือนการเรียนรู้ในบ้านเรานั้น จะแยกชัดเจนระหว่างการเรียนกับการถาม

คือเรียนก็คือเรียน เข้าไปในห้อง ทำให้ได้อย่างที่อาจารย์บอก คิดให้ได้แบบที่อาจารย์คิด จำให้ได้ แล้วเอาไปสอบ ได้คะแนนดีสบายแฮ

แต่ไม่ต้องวิพากษ์ว่าสิ่งที่อาจารย์สอนนั้นมีข้อบกพร่องตรงไหน ไม่ต้องตั้งคำถามแข่งกับความรู้ที่อยู่บนกระดาน ไม่ต้องไปพูดคุยถกเกียงกันต่อถึงความรู้ที่ได้รับว่าเห็นด้วยหรือไม่และอย่างไร

คิดโทษการศึกษาไทยได้เช่นนี้ กระผมจึงรู้สึกเสียดายและเสียใจกับระบบการศึกษาบ้านเราพอควร อืมเราฝึกคนเป็นนักคิดได้ยากจริงๆ เพราะเราไม่เคยให้ความสำคัญกับการตั้งคำถามในการเรียน

นี่ล่ะน้า กระผมถึงได้ลำบากใบ้แด๊กอยู่ในขณะนี้ (แต่จริงๆแล้วภาษากระผมก็ยังไม่ค่อยดีนัก จะพูดไรทีก็ต้องคิดแล้วคิดอีก โดยเฉพาะเวลาถกเถียงเรื่องที่เป็นวิชาการมากๆ เรื่องนี้มีส่วนเช่นกันและเป็นความผิดของกระผมเอง)

อีกเรื่องนึงคงเป็นเรื่องความเหงา

อืมตั้งแต่มาเรียนเนี่ย วันๆแทบไม่ค่อยได้เจอใคร ถึงเจอก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรมากมาย แบบคุยผ่านๆ

กับเพื่อนที่ร่วมคลาสก็ไม่ค่อยสนิท (ซักที)

ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม จริงๆก็อยากคุยกันมันนะ แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างมากั้นเอาไว้

จากเมื่อก่อนเวลาโดนถามว่า How are you? จะต้ั้งใจตอบเพราะนึกว่ามันถามจริงๆ

จนตอนนี้รู้แล้วว่าเขาก็ถามไปงั้นล่ะ เพราะเขาไม่ได้รอคำตอบอะไรจากเรา

รู้สึกว่าสังคม Grad เนี่ยแบบ ค่อนข้างตัวใครตัวมัน ดูแลตัวเองก็แล้วกัน เวลาเฮฮาอะไรร่วมกันเนี่ย แทบไม่มีเลยซักครั้ง

อืม พอมาอยู่แบบนี้ก็ จิตตก พอควร แบบคนเคยอยู่ฮาๆ เพื่อนเยอะๆ มีเรื่องคุย บ่น เม้าท์ ได้ตลอด

พอมาอยู่แบบนี้ กอปรกับความเครียดจากการเรียน

ก็ได้แต่บอกตัวเองบ่อยๆ ว่า common man! it won’t make you die! it will make you tough!

เอาล่ะ ขอหยุดบ่นแต่เพียงเท่านี้และไปอ่านหนังสือต่อแล้ว

8 comments:

Anonymous said...

อ่านแล้ว เห็นด้วยกับอาจารย์จริงๆเลยค่ะ
ระบบการศึกษาของไทยเนี่ย น่าจะมีการปฏิวัติสักที
แต่ก็อย่างว่า เวลาพูดมันก้ง่าย แต่ถ้าจะทำจริงๆมันก็คงยากและต้องใช้เวลานานอยู่...ก็ได้แต่รอให้มีคนหัวคิดใหม่ๆเข้ามานำร่อง
อ่อ ท้ายนี้ ก็ สู้ๆนะคะ อาจารย์ ^^fighting !!

Anonymous said...

หนูเชื่อว่าพี่จะต้องทำได้อยู่แล้ว สู้ๆนะคะ
เพียงแต่ว่ามันอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัว
แต่พี่อย่าเครียดมากนะ ดูแลตัวเองด้วย
เวลาที่พี่เครียดพี่ลองยิ้มออกมาสิแล้วพี่จะรู้สึกดีจริงๆ
สู้ๆ สู้ตายค่ะ
อ่านเสร็จแล้ว พี่อย่าลืมยิ้มนะ เอาวะสู้โว้ย

Anonymous said...

สู้เค้านะคะพี่ปริน เพราะ ความตั้งใจที่ดี บางทีก็ต้องทุ่มสุดตัวทั้งกายและใจ

Anonymous said...

สวัสดีค่ะ หนูไม่รู้จักพี่(ขอเรียกพี่ล่ะกันนะค่ะ) เท่าไหร่นัก แต่ก็เคยได้ยินชื่อบ้าง หนูก็ไม่ได้ตั้งใจเปิด(ต้องขอโทษด้วยค่ะ) ขึ้นมา แต่ด้วยความบังเอิน ทำให้หนูได้ อ่านบทความต่างๆที่พี่เขียน หนูก็รู้สึกว่ามันน่า รัก เหมือนว่าเราได้อ่าน รู้ชีวิตของคนคนนึง หวังว่าคงไม่ว่านะค่ะ มันก็ทำให้แนได้อารายใหม่ๆๆขึ้นมา
(เข้าเรื่อง)แหะๆ หนูอ่านแล้วรู้สึกเห็นด้วยค่ะ
อยากให้ประเทศไทยเป็นอย่างนั้นเร็วๆจังเลย หนูจะได้หายโง่สักที ประเทศไทยจะได้เจริญๆ

ท้ายสุด....ก็คือ กำลังใจ ที่หาจากไหนไม่ได้ จะซื้อก็ไม่ได้ ขายก็ไม่มี มีก็มาจากใจเท่านั้น ที่ได้จากคนอื่นๆ คนรอบข้างหรือแม้แต่คนที่ไม่รู้จัก แม้มันจะดูแล้วไม่มีตัวตน แต่มันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ และถ้าเรารู้สึเหนื่อยสักแค่ไหน มันก็ยังทำให้เรามีความสุขได้
อืม ... งั้นก็สู้ต่อไปล่ะกันนะค่ะ....(พี่)เจ้าชายน้อย

David Ginola said...

ไม่แน่ใจว่าพี่มีอาการคล้ายๆผมหรือเปล่า คือผมจะค่อนข้างใช้เวลานานกว่าจะสนิทกะใครจริงๆ คือไม่ได้เป็นคนที่เจอกันครั้งสองครั้งก็คุยกันได้เยอะๆ ต้องใช้เวลาสักพักถึงจะสนิทกันในระดับนึง ต่างจากบางคนที่เค้าสามารถเข้ากับผู้คนที่พบได้ค่อนข้างเร็ว

อย่างหลายปีที่แล้ว ตอนผมไปเรียนสิงคโปร์นะพี่ วันแรกๆนี่เพื่อนในห้องมันแบบไม่คุยด้วยเลย เราพยายาม say hi ก็แบบแค่นั้น แต่พอผ่านเดือนสองเดือนแรกไปนะ ก็เริ่มสนิท ต่อมาก็แบบกลายเป็นกลมเกลียวกันไปเลย

โอเค...การเรียนระดับโทอาจจะต่างจากสมัยมัธยมฯ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมว่าลึกๆในใจของเพื่อนๆร่วมคลาสพี่ก็คงอยากจะได้สนิทกะเพื่อนเหมือนกัน คงไม่มีใครหรอกที่อยากจะเรียนๆไปให้จบแบบตัวคนเดียวป่ะ ส่วนใหญ่ก็คงอยากมีเพื่อน เพราะยังไงคนก็คือคน เป็นสัตว์สังคม

เพราะฉนั้น ตอนนี้มันเหมือนแบบอาจจะยังกั๊กๆกันอยู่ แต่แบบถ้าเราเปิดใจ พยายามเข้าหากันและกัน ผมว่าต่อไปน่าจะดีขึ้นเองนะพี่ ยังไงก็สู้ๆนะคับ อ้อ...และขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆด้วยคับ

ส่วนเรื่องการศึกษาไทย อืม ผมว่าเด็กรุ่นใหม่ๆ น่าจะดีขึ้นในเรื่องการตั้งคำถามกับสิ่งที่อาจารย์สอนนะ เด็กเดี๋ยวนี้มันหัวดื้อใช้ได้เลย ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ดูแล้วแนวโน้มน่าจะดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ดีพออยู่ดี คงต้องช่วยๆกันค่อยๆปรับความคิดตรงนี้

ไว้จะเมลล์ไปคุยด้วยนะพี่

David Ginola said...

อ้อ คือลืมบอกไปอย่างนึงคับ ไม่รู้ว่าพี่เคยลองใช้ป่าว...

คือสำหรับผมนะ เวลาเบื่อๆเซ็งๆยุ่งๆเครียดๆเหงาๆ ผมจะชอบเปิดเพลงฟังตอนเช้า แบบตื่นมาปุ๊บก็เปิดฟังเลย ถึงช่วงอื่นของวันจะไม่มีเวลาฟัง ก็ขอเจียดเวลาให้ได้ฟังเพลงมันๆความหมายดีๆสักเพลงสองเพลงยามเช้า

ผมรู้สึกว่ามันให้พลังใจและปลุกเราให้ตื่นขึ้นอย่างสดใสได้ดีเชียวแหละ เหมือนเป็น "อาหารเช้า" สำหรับหัวใจเลยคับ

Anonymous said...

เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ระบบการสอนแบบไทย ทำให้เด็กใบ๊แด๊กอย่างที่พี่ว่า ควรจะปรับเปลี่ยนวิธีการสอนอย่างยิ่ง ทำยากนะครับจากที่เคยสอนกันมาเป็นสิบๆปีอย่างนี้ ก็คงต้องรอนักวิชาการ และอาจารย์ดีดี อย่างพี่กลับมาช่วยพัฒนาการสอนไทยละนะ

เชื่อว่าพี่อาจยังไม่เปิดใจ หรือให้เวลาพอที่จะสนิทกับใครสักคน มันเลยเหมือนกับว่าไม่สนิทกันสักที ลองเจียดเวลาส่วนนึงที่มีอันน้อยนิ๊ดมาเปิดโลกอีกด้านนึง มันก็คุ้มเหมือนกันนะ พยายามเข้า! จะเป็นกำลังใจให้นะ

Prettykeawa said...

วันนี้เพิ่งโดนกะตัวเองมาค่ะ
ไม่เคยเรียนแบบนี้มาก่อนเลย
นี่เป็นครั้งแรกค่ะ อาจารย์ให้ตั้งคำถาม
ถามกันเองกะเพื่อนในห้อง
ทำให้รู้ว่าตัวเองอ่อนมากๆในเรื่องการตั้งคำถาม
นอกจากไม่ได้สาระไรกลับมาแล้ว
ยังทำให้คนตอบงงไปตามกันๆด้วย
แล้วตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่า
ว่าควรคิดยังไงก่อนจะตั้งคำถามอะไรออกไป