Sunday, August 27, 2006

ค้นหาตัวเองที่สุคะโต

มันเป็นเวลาล่วงสองสัปดาห์มาแล้ว...หลังจากที่ผมกลับออกมาจากวัดป่าสุคะโต ที่ซึ่งผมได้ไปใช้เวลาร่วมเดือนในการบวชเรียน

ในตอนแรกผมคิดจะเขียนบทความนี้ทันทีเพื่อไม่ให้ความทรงจำต่างๆที่ยังชัดเจนอยู่ในหัวเริ่มจางหาย

แต่แล้วความวุ่นวายในทางโลกก็กลับเข้ามาสู่ชีวิตอีกครั้ง ทั้งที่คาดหมายและไม่ได้คาดหมาย การเขียนเล่าเรี่องนี้ก็ถูกผ่อนปรนออกไป

อย่างไรก็ดีเมื่อไตร่ตรองแล้ว ผมกลับรู้สึกว่า มันคงดีกว่าที่จะเขียนถึงประสบการณ์ที่ได้จากการบวชในตอนนี้ เวลาที่โลกแห่งความจริงกลับมาสู่ชีวิตอีกครั้ง และประสบการณ์ทางธรรมกำลังลดกำลังของมันลงเมื่อต้องต่อสู้กับกิเลสที่บ่าเข้ามาตลอดเวลา

เราคงเบื่อๆกันแล้วเวลาที่เห็นบทความธรรมะของคนที่ซึ้งในพระธรรมอย่างสุดเหลือ จนผู้อ่านรู้สึกถูกสะกดไปชั่วขณะ แต่แล้วพอตื่นจากภวังค์ชีวิตก็เข้าสู่วงจรเดิมก่อนหน้า ทุกข์ สุข ไม่เปลี่ยนแปลง

"ชีวิตจริงมันหวานซึ้งแค่ชั่วประเดี๋ยว แล้วก็มีแต่ความจริงรสขมที่นานไปเราก็เริ่มชินชา"

มาลองดูช่วงเวลาที่ธรรมะกำลังยื้อฉุดกับกิเลส ประดุจการต่อสู้ที่ยังไม่อาจบอกได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะดีกว่า ห้วงเวลาแบบนี้ไม่ใช่หรือที่เป็นตัวตัดสินว่าการกระทำจะออกมาชั่วดีอย่างไร

...........................

"วัดป่าสุคะโต"

ผมย้อนกลับไปเล่าสั้นๆถึงประสบการณ์ที่ได้จากการบวชเรียนก่อน ด้วยว่าท่านผู้อ่านทั้งหลายคงสนใจถึงที่มาที่ไปแห่งธรรมะที่ผมได้เรียนรู้มา

ผมเองไม่เคยคาดหวังว่าชีวิตตัวเองจะต้องบวช ผมไม่เชื่อเรื่องบุญบาปที่ได้จากการบวช ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครมาเกาะชายผ้าเหลืองใครขึ้นสวรรค์ได้

แล้วไปบวชทำไม?

วันหนึ่งความคาดหวังต่อชีวิตผมเริ่มเปลี่ยนไป ครั้งหนึ่งผมรู้สึกเหมือนตัวเองจะควบคุมทุกๆอย่างในชีวิตไว้ได้ง่ายๆ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ผมห่วยแตกและอ่อนแอกว่าที่ผมรู้จักตัวเองเยอะ ผมไม่เคยทำตามที่ตัวเองบอกตัวเองได้ ผมล้มเหลวต่อความคาดหวังของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซากปรักหักพังของความฝันที่เคยยิ่งใหญ่เหมือนกองอยู่เกลือนกลาดในชีวิต จากคนที่เคยมั่นใจว่าจะทำทุกๆอย่างได้สำเร็จอย่างง่ายดายผมเรียนรู้ว่าตัวเองก็แค่คนไม่เอาไหนคนหนึ่ง

มันเกี่ยวอะไรกับการบวช?

แม้โง่เขลา แต่ผมก็เคยรู้อะไรเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้ามาบ้าง บดสวดมนต์ประกอบคำแปลที่เคยสวดทุกเช้าเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนยังดังอยู่ในความทรงจำ ศาสนามักเป็นคำตอบสุดท้ายของคนที่คิดอะไรไม่ออกเกี่ยวกับชีวิต ผมเองตั้งความหวังว่าจะปัดฝุ่นความผิดพลาดแล้วตั้งใจใช้ชีวิตให้ดีขึ้นอีกครั้ง จุดเริ่มใดล่ะที่จะดีไปกว่าการออกแสวงหาสิ่งที่ขาดหายไปอย่างแน่นอนในชีวิต

"สติ"

คำได้ยินบ่อยที่สุดคำหนึ่งในศาสนาพุทธ แล้วมันคืออะไร มีมันแล้วชีวิตจะดีขึ้นหรือ? กับคนที่เริ่มจนตรอกกับปัญหาแล้ว การเฝ้าหาคำตอบก็อาจเป็นความฟุ่มเฟือยในการใช้โอกาสได้ ลองตอบมันทุกคำตอบเท่าที่มีเวลาจะตอบได้ดีกว่า

ลมแห่งโชคชะตาพัดเข้ามาสู่ชีวิตผมอีกครั้ง ครั้งนี้มันพัดพาให้ผมได้ไปรู้จักวัดที่ชื่อวัดป่าสุตะโต

ผมได้ไปชัยภูมิในการปฏิบัติงานให้กับคณะ แล้วด้วยความบังเอิญและความกรุณาของอาจารย์ท่านหนึ่งผมก็ได้ไปเยี่ยมเยือนที่แห่งนี้

สำหรับคนบาปหนาเช่นผม วัดไม่ใช่ที่ๆผมย่างกรายเข้าไปบ่อยนัก แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าวัดนี้ไม่เหมือนที่อื่นๆ

ผมเคยรู้สึกอิดเอียน เมื่อเห็นนักบวชกระทำตนเองไม่ต่างอะไรกับพ่อค้า เดินซื้อของเล่นและเกมส์เกมที่คลองถมไม่ต่างกับ "เต่ายักษ์" (taoyak.blospot.com)

เคยเบื่อเซ็งกับตู้บริจาคค่าน้ำไฟ และเลิกบูชาสงฆ์อย่างจริงใจเมื่อเห็นข่าวการเสพเมถุนดาษดื่นบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน

อย่างน้อยที่วัดป่าสุคะโตทุกอย่างแตกต่างออกไป ที่นั่นปฏิเสธแนวทางพุทธพาณิชย์อย่างสิ้นเชิง ด้วยรู้ว่าเมื่อมีเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเมื่อไรแล้ว ไม่ว่าคน สงฆ์ หรือเทวดา ก็ล้วนลดคุณค่าตนเองกลายเป็นมารได้ทุกเมื่อ

กับพิธีกรรมที่เป็นเปลือกนอกก็เช่นกัน วัดป่าสุคะโตไม่มีการสวดศพ ไม่มีการระดมสงฆ์ไปงานบุญ ไม่มีเสียงโห่ร้องของการแห่นาค

ความเงียบสงบกับบรรยากาศที่ร่มรื่นของป่า ดูเป็นสถานที่ในอุดมคติเหลือเกินสำหรับการเรียนรู้ตนเอง

ผมตัดสินใจจะบวชที่นี่ทันที เมื่อได้พบท่านอดีตเจ้าอาวาส "หลวงพ่อคำเขียน" ด้วยประทับใจเมื่อได้รับคำตอบว่า "จะมาบวชหรือ ไม่ต้องเตรียมอะไรมาหรอก มาแต่ตัว เตรียมใจมาให้พร้อมก็พอ"

เกิดครั้งแรกก็มีมาแต่ตัวกับใจ หากจะเกิดอีกครั้ง ทำไมจะต้องมีไปมากกว่านั้น

.......................

"ค้นหาตัวเอง"

วันเวลาที่สุคะโตผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ที่นั่นวัตรปฏิบัติประจำวันเริ่มต้นในเวลาที่ใครบางคนยังไม่เริ่มนอนหลับ

ตีสามครึ่งเราทุกคนต้องตื่นมาแปรงฟันล้างหน้า ตีสี่ทำวัตรเช้า ฟังเทศน์ ตีห้ากว่าๆบิณฑบาตร เจ็ดโมงครึ่งฉันเช้า เก้าโมงปฎิบัติธรรมในรูปแบบโดยการเดินจงกรมสลับกับการเจริญติโดยเทคนิคการเคลื่อนไหวกาย พักครู่หนึ่งในเวลาเพล แล้วปฏิบัติธรรมต่อจนทำวัตรเย็น ก่อนนอนในเวลาสามทุ่มก็ปฏิบัติต่ออีกเล็กน้อย

หลักในการปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีอะไรมาก แค่สั้นๆคือ "รู้สึกตัว"

ดั่งคำสอนในพระไตรปิฎกเกี่ยวกับการฝึกสติ อันมีอยู่ว่า จะ กิน นอน เดิน นั่ง คู้ เหยียด ก็ให้รู้สึก

นั่นคือแก่นในการฝึกสติตามแบบฉบับของสุคะโต

ให้อยู่กับความรู้สึกตัว แล้วสติจะมีกำลังเพิ่มขึ้น ความคิด อารมณ์ ความสุข ความเศร้า ก็กลายเป็นแค่ห้วงภวังค์ที่ผ่านมาและผ่านไป ไม่ได้มีกำลังดึงใจของเราไปสุขทุกข์กับมันอีก

ฟังแล้วอาจเข้าใจยาก ก็นั่นล่ะ หากสนใจก็ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับสุคะโต พอได้ข้อมูลแล้วลองปฏิบัติจะดีที่สุด

"หมื่นล้านคำกล่าวก็ไม่สู้สัมผัสด้วยตนเอง"

กับการปฏิบัติธรรมนั้น ในเวลาแรกผมก็ปฏิบัติไปด้วยความมุ่งหวัง "หว่านพืชหวังผล" ทุกครั้งที่เข้าสู่การปฏิบัติก็บอกตัวเองว่าต้องตั้งใจทำมากๆเพราะไม่อยากผิดพลาดอะไรไปอีกครั้ง มาไกลขนาดนี้ต้องได้อะไรไปบ้าง

มารู้ตัวก็ในวันหนึ่งว่าหากปฏิบัติไปด้วยความอยากได้อยากเป็น แล้วจะต่างอะไรไปจากเมื่อครั้งอยู่ในทางโลกที่ชีวิตขับเคลื่อนด้วยกิเลสเล่า นับจากตอนนั้นก็ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆโดยไม่คิดอะไร

ในช่วงเวลาแห่งการปฏิบัตินั้น ทำให้รู้สึกไปว่าชีวิตมีคุณค่าของมันอยู่แล้ว ความสุขก็อยู่กับตัวเราอยู่แล้ว บางครั้งนึกย้อนมองดูกลับไปในรอยอดีตแห่งความสุขเศร้าก็รู้สึกว่าไม่พบสาระอะไรให้ใจวุ่นวายอีก

ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆของชีวิตเวลาหนึ่ง

แต่อนิจจา ด้วยความบาปหนาหรือไรเล่า ผมเองก็ตัดไม่ขาดจากทางโลกอยู่ดี ความมุ่งหวังในอนาคตของตนเองยังมีอยู่เต็มเปี่ยม กามกิเลสทั้งหลายยังอยู่ในห้วงคำนึง ทุกสิ่งล้วนเรียกร้องให้ผมกลับไปสู่ทางโลก ไปไขว่ขว้า ไปค้นหา ไปหมกหมุ่นกับความคาดหวังอีกครั้ง

ผมยอมรับว่ายังข้ามไม่พ้นกำแพงแห่งอัตตา และสัญชาตญานแห่งความอยากของสัตว์ที่มีอยู่ในตัว

แต่อย่างน้อยก็ยังได้รู้จักมันดีขึ้น แลกำแพงที่เคยสูงสุดตาก็ไม่ได้รู้สึกว่าสูงจนไม่เห็นจุดจบอีกต่อไป

ในวันสึก ผมรู้สึกอยากจะหยุดสภาวะในจิตใจตนเองให้มันอยู่แบบนี้ไปอีกนานเท่านาน สภาวะที่สงบ สภาวะที่ตัวเองรู้สึกเป็นนายของจิตใจ โทสะ โมหะ โลภะ ล้วนเป็นที่รู้จักแล้วสิ้น

แต่ในใจลึกๆก็ยังรู้อยู่ เมื่อกลับมาทางโลกแล้วทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนไป ไม่รู้จะต้านทานกระแสกิเลสได้อีกนานแค่ไหน....

.............................

กลับสู่ความจริง

กลับมาจากสุคะโตวันแรก ผมถึงกลับหวั่นไหวเมื่อต้องเผชิญกับสภาพรถติดในกรุงเทพ

กลับมาได้วันเดียวแม่ผมก็ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล สาเหตน่ะหรือ ก็เพราะแม่ป่วยอยู่แล้วดันเดินทางไปร่วมงานสึกของผมอีก ก็เลยแย่หนักลงไป

แต่ต้องไม่ต้องห่วงครับ หลังจากไปนอนโรงพยาบาลสองสามวัน แม่ก็หายดี

ส่วนผมน่ะหรือ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสาเหตของการป่วยไข้ของแม่ ก็เลยต้องไปนอนเฝ้าอยู่ตลอดสองสามวันที่โรงพยาบาล

ที่เคยกะว่าจะกลับมาปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดที่บ้านก็ถูกผัดผ่อนไปก่อน

กลับจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้านในช่วงอาทิตย์แรกก็ยังได้ปฏิบัติธรรมบ้าง ผสมผสานกับการอ่านหนังสือเตรียมไปเรียนและเร่งงานที่ยังค้างคาให้เสร็จสิ้น

จะมีช็อคทางจิตใจเข้ามาบ้างนิดหน่อยเมื่อได้รู้ว่า งานเขียนที่เคยทำมานานในช่วงชีวิตการเริ่มต้นเป็นอาจารย์ถูกวิจารณ์จากผู้ใหญ่ว่าห่วยแตก แต่ไม่นานก็ทำใจได้ แม้ผลการทำลายล้างจะยังเหลืออยู่ก็ตาม

มีอารมณ์เสียอยู่บ่อยๆกับพิษ Post Romantic ของความรัก (ฟ้าที่เคยใสเปลี่ยนไปเป็นพายุฝน) ฉุดกระชากให้โทสะที่เคยเก็บไปอยู่เบื้องลึกกลับมาครอบงำจิตใจอีครั้ง

มีหลุดขี้เกียจไปบ้างเมื่อคิดว่าตัวเองต้องใช้เวลาทำใจนิดหน่อย เลยยุติวัตรปฏิบัติให้ความสบายเข้ามาแทนที่

ทุกอย่างที่เคยคาดหวังไว้กลับเริ่มจางหายไป จิตใจที่เคยว่าสงบก็เริ่มวุ่นวายอีกครั้ง

สารภาพตามตรงว่าในอาทิตย์ที่สองที่กลับมาจากวัด ผมแทบลืมความตั้งใจที่มีมาแต่เดิมไปเกือบทั้งหมด ลืมให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมไปเสียสิ้น จนมารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อวานนี้เอง จึงย้อนกลับมาปฏิบัติอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อปฏิบัติเสร็จจึงทบทวนตนเองแลตั้งใจจะเขียนบันทึกความรู้สึกต่างๆขึ้นในวันนี้

จิตใจตอนนี้จะว่าสงบก็ไม่ใช่ วุ่นวายก็ไม่เชิง

กังวลอยู่บ้าง สบายใจก็มีอยู่ สับสนพอประมาณ

ถ้าเปรียบจิตใจเป็นก้อนหิน ตอนนี้ก็มีเชือกบางๆรัดมันไว้ไม่ให้ตกไปสู่ห้วงแห่งทุกข์เช่นอดีต

เชือกดังกล่าวไม่รู้จะขาดเมื่อไร?

.......................................

ป.ล. ขอเชิญเข้าเยี่มชมบล็อคใหม่ของหนุ่มไฟแรง คุณน้องเต่ายักษ์ของกระผมที่ taoyak.blogspot.com