Friday, November 17, 2006

ค้นหาความหมายของการซื้อประเวณี

คำเตือน....บทความต่อไปนี้ไม่ต้องการนำเสนอมุมมองทางศีลธรรม ถ้าต้องการเพียงมุมมองดังกล่าวโปรดอย่าอ่าน

กระผมเพิ่งได้อ่านบทความเกี่ยวกับการค้นหาความหมายของการซื้อประเวณี เป็นงานวิจัยที่ทำในอเมริกา น่าสนใจทีเดียว เลยสนใจนำมาเล่าให้ทุกท่านฟังต่อ

งานวิจัยดังกล่าวแม้ทำในอเมริกาแต่ก็มีประเด็นหลายอย่างที่น่าจะเป็นประเด็นระดับสากล ที่พอบอกได้ว่าชายที่เที่ยวผู้หญิงในอเมริกานั้นมีความคล้ายคลึงกับชายที่เที่ยวผู้หญิงในประเทศอื่นอยู่หลายประการ

ธรรมดาเวลาเรานึกถึงการซื้อขายประเวณีนั้น ประเด็นแรกที่เรามักนึกไปถึงคือ ทำไมผู้หญิงถึงได้ขายประเวณี?

แน่นอนความยากไร้ การไร้การศึกษาที่เพียงพอ การตกอยู่ในอิทธิพลของลัทธิบริโภคนิยม หรือแม้คำตอบโบราณคร่ำครึอย่างเขา "ถูกหลอก" ถูกเอ่ยถึงอยู่บ่อยครั้ง หลายครั้งที่เธอเหล่านี้สุดท้ายก็ถูกเพียงแต่ตราหน้าหรือแผลเป็นทางสังคมให้แล้วก็จบ

ความเป็นจริงเรื่องอาจไม่ผิวเผินเพียงเท่านั้น โปรดอย่าลืมว่าเศรษฐศาสตร์บอกเราว่า เมื่อไม่มีอุปสงค์ย่อมไม่มีอุปทาน โสเภณีจะอยู่ได้อย่างไรหากไม่มีลูกค้า และแน่นอนสำหรับเมืองไทย โสเภณีจะเพิ่มจำนวนได้อย่างไร ถ้าคนเที่ยวไม่ "เยอะ"

คนเที่ยวเหล่านี้มองการซื้อประเวณีว่าคืออะไร? (ต่อไปนี้คือมุมมองของงานวิจัยที่ทำในอเมริกา)

ก่อนจะไปถึงมุมมองส่วนบุคคล สิ่งแรกที่ควรถูกพูดถึงคือสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ที่ได้เปลียนแปลงมุมมองของคนต่อการซื้อประเวณี

ด้วยอิทธิพลของทุนนิยมและตลาดที่ส่งผลให้เกิดกระบวนการ "ทำให้เป้นสินค้า (Commodification)" การซื้อประเวณีก็เช่นกันที่ถูกทำให้ไม่ต่างจากการซื้อสินค้า "ชนิดหนึ่ง"

มุมมองที่เห็นการซื้อประเวณีเป็นการซื้อสินค้าเป็นมุมมองหลักที่โน้มน้าวให้คนหันไปใช้บริการโดยไม่คิดถึงประเด็นทางศีลธรรม แต่ภายใต้มุมมองดังกล่าวการซื้อสินค้าที่เรียกว่า SEX ก็ยังมีรายละเอียดย่อยที่แตกต่างกัน

บางคนอาจมองว่าคนที่ไปซื้อประเวณีนั้น ไม่มีความสามารถที่จะหาผู้หญิงดีๆมามีความสัมพันธ์ด้วย....

เมื่อถูกภามว่าทำไมถึงได้ใช้บริการทางเพศ ชายหนุ่มหน้าตาดีผู้มีหน้าที่การงานที่สำคัญในบริษัทการเงินตอบคำถามว่า
"เขาต้องการมีชีวิตที่อิสระ การมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้หญิงนั้นนำมาซึ่งปัญหามากมายที่เขาไม่ต้องการ มันดีกว่าที่เขาจะมีความสัมพันธ์ทางเพศแค่เพียงผ่าน แล้วใช้ชีวิตอิสระของตนได้ต่อไปโดยไม่ถูกรบกวน"

....ความเป็น Individualism มากขึ้นของสังคม ก็อาจนำมาซึ่งคนที่ "มีโลกส่วนตัว" ที่ไม่ค่อยอยากให้ใครเข้ามาวุ่นวายมากนัก บางทีการมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งก็นำมาซึ่งความรับผิดชอบที่คนเหล่านี้ไม่อยากแบกรับ

บางคนมองว่าการหันไปใช้บริการทางเพศเกิดจากสภาพครอบครัวที่ไม่อบอุ่น ภรรยาไม่สามารถตอบความต้องการทางเพศของสามีได้.....

เมื่อถูกถามถึงสาเหตุของการใช้บริการว่าเกี่ยวกับความล้มเหลวของชีวิตแต่งงานหรือไม่ ชายวัยกลางคนตอบว่า
"เขามีชีวิตครอบครัวที่ดี มีความสัมพันธ์ทางเพศที่ปรกติกับภรรยา แต่การมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นทีีไม่ใช่ภรรยาของตนบ้างก็เหมือนการเปลี่ยนรสชาติ บางทีมันอาจช่วยทำให้ชีวิตคู่ของเขาดีขึ้นด้วยซ้ำ"

การซื้อประเวณีของผู้ชายนั้น ส่วนใหญ่ถูกแยกออกจากความรัก รักครอบครัว รักแฟนก็เรื่องหนึ่ง การทำตามความอยากก็อีกเรื่องหนึ่ง

บางคนที่มองว่าคนที่ไปเที่ยวผู้หญิงนั้น ไปเพียงหาทางออกที่ยังไม่มีให้กับความใคร่ที่อัดอั้น อาจมองเรื่องดังกล่าวไม่ครบทุกมุม....

เมื่อถูกถามถึงสาเหตุของการเที่ยว ชายคนหนึ่งจึงได้เล่าประสบการณ์ที่ติดอยุู่ในความทรงจำของตน
"ความประทับใจในการบริการทำให้เขาไปที่นั่นเพื่อหาสาวคนเดิมอยู่บ่อยๆ เขาชอบความรู้สึกที่ได้จากเธอ"

แต่เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกที่มีให้กับเธอว่าอยู่ในฐานะใด
"เขากลับตอบเพียงว่า มันอยู่ในฐานะผู้ซื้อและผู้ขายเท่านั้น ความสัมพันธ์ไม่เคยเกินเลยไปกว่าทางพาณิชย์ และไม่ใช่เพียงเขาที่ต้องการเพียงแค่นั้น แต่เธอเองก็ต้องการเช่นกัน"

"แม้ให้เลือกมีความสัมพันธ์โดยที่ไม่ต้องเสียเงินได้ เขาก็จะไม่เลือก เพราะเขาเชื่อว่าสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ความสัมพันธ์ในเชิงอุปสงค์และอุปทานเป็นเรื่องที่เหมาะแล้ว"

หญิงสาวผู้เคยผ่านประสบการณ์เป็นผู้ให้บริการ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของเธอกับลูกค้าว่า
"มีบ้างบางครั้งที่เธอรู้สึกพิเศษกับลูกค้าบางคน แต่เธอรู้ว่าการพยายามให้ความพิเศษกับลูกค้าที่เธอรู้สึกเช่นนั้น จะไม่ส่งผลใดๆที่เธอต้องการให้เกิดขึ้นได้เลย เธอเคยบอกให้ลูกค้าที่เธอชอบมากคนหนึ่งมาใช้บริการได้ฟรี.....แต่หลังจากนั้นเธอก็ไม่เจอเขาอีกเลย"

คำอธิบายว่าการไปเที่ยวนั้นคือการบำบัดทางอารมณ์อาจถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะในความคิดของผู้ชายนั้น การบำบัดอารมณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกที่ถูกแยกจากความเป็นจริง เป็นโลกที่ไม่เกี่ยวกับความรักและศีลธรรม เป็นสิ่งเสมือนจริงในโลกที่จำกัด (Bounded Authenticity)ที่อยู่บนพื้นฐานของการได้รับและตอบแทน

นั่นคงเป็นความหมายคร่าวๆของ "การซื้อประเวณี" ที่ได้จากงานวิจัยเรื่องดังกล่าวในอเมริกา

ไม่รู้ว่าจะคล้ายคลึงกับภาวะในประเทศไทยของเราหรือไม่?

แต่ที่แน่ๆ งานวิจัยดังกล่าวได้เอ่ยถึงคำสัมภาษณ์ที่ตรงไปตรงมาของชายอเมริกันคนหนึ่ง ที่ว่า

"Men and woman just think differently, Men will fuck sheep, boys, anything. They are dogs"

.........ไม่ทราบชายไทยคิดว่าส่วนไหนบ้างของประโยชน์ดังกล่าวที่จริง

4 comments:

Gelgloog said...

โอ้ววว น่าสนใจครับ น่าสนใจ.....

คงคล้ายๆกับแนวคิดเรื่อง decectring subject ของ postmodern ที่พยายามจะมองว่าภายใต้โลกหลังสมัยใหม่เบี้ยวๆนี้ ความเป็นตัวตนของคนเราถูกทำให้แตกกระจายเป็นเศษเสี้ยว เป็นส่วนๆ เราไม่สามารถนิยามตัวเราได้อย่างเพียว หรือแบบเดียว หากแต่ต้องนิยามผ่านบริบทที่แตกต่างกันไป

ดังนั้นตอนที่อยู่บ้านเราก้อเป็นพ่อบ้านที่ดีซะ เป็นผัวที่ดีให้แม่เมีย พออยู่นอกบ้านก็กลายเป็นผู้ซื้อที่ดี โดยที่เรื่องการไปซื้อขายมีอะไรกับหญิงนั้น กับการเป็นพ่อและผัวที่ดีมันคนละเรื่องกัน (เฉยเลย)

สำหรับผมคิดว่าปัญหาเรื่องการค้าประเวณีนี่พูดยากนะ เพราะจะว่าไปแล้วมันก็เป็นอาชีพที่อยู่คู่โลกมนุษย์เรามายาวนานๆ อยู่ๆจะทำให้มันหายไปนี่ก็คงจะพิกลอยู่ (ตรรกะแปลกๆเนอะ)เอาเป็นว่าปัญหาเรื่องค้าประเวณีผมว่ามันต้องพูดเป็นเรื่องๆ เป็นประเด็นไป ส่วนประเด็นที่จะทำให้มันหายไปจากโลกนี่ผมว่าเอาไว้พูดอันสุดท้ายเหอะ 5555

Anonymous said...

โห เรียน development study นี่ดีจังเลยนะคะ ได้อ่านอะไร อะไร น่าสนใจหลายอย่างเลย ไม่เหมือนเรียน pur เสด ที่หนักแต่เรื่องเลข โมเดล และ จินตนาการ ...
เคยดูหนังเรื่องหนึ่งใน hbo บอกเล่าเรื่องราวของสถานซื้อขายประเวณีชั้นดีอย่างถูกกฎหมายในรัฐ nevada(ซึ่งทำเงินได้ดีพอๆกับอาชีพทนายความ ตามท้องเรื่อง) โดยสถานที่นี้ก็ตั้งอยู่ไม่ห่างนักจากเมืองอยู่อาศัยแบบสงบตามแบบของฝรั่ง
ดูแล้วสะท้อนให้เห็นว่า ฝ่ายหญิงก็พอใจที่จะขายประเวณี บางคนขายเพื่อเป็นทางผ่านเก็บเงินไว้ซื้อบ้าน บางคนขายเพราะเป็นอาชีพของตระกูลและพอใจที่จะทำอาชีพนี้ต่อไปจนแก่ โดยที่แต่ละคนก็ต้องยอมรับกับภาวะความกดดันทางสังคมที่เกิดขึ้น
ส่วนฝ่ายชาย เมื่อมาแล้วก็ได้ประสบการณ์ต่างๆกลับไป บางคนมาเพื่อกำจัดปมด้อยในตัวเอง มีพี่ชายพาน้องชายซึ่งไม่รู้ว่าน้องเป็นเกย์มาที่นี่เพื่อเป็นของขวัญวันเกิด บางคนมาหาเพื่อนคุย
หรือแม้แต่มีแม่บ้านบางคนมาขอให้โสเภณีคนหนึ่งสอนเพื่อจะได้กลับไปทำหน้าที่ที่ดีขึ้นที่บ้าน
ดูแล้วก็กินใจว่า ท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนไป คนมีจิตใจต่างๆกันไป ทั้งชาย และ หญิง คงห้ามไม่ได้ที่จะมีการค้าประเวณี เพียงแต่ในการซื้อขาย คนซื้อก็ต้องได้บางอย่าง และสูญเสียบางอย่าง เช่นเดียวกันกับคนขายที่ได้บางอย่างและก็ต้องสูญเสียอะไรบางอย่างเช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้สังคมควรมีปัญหาน้อยที่สุด ด้วยการค้าประเวณีที่ถูกกฎหมาย มีการลดความเสี่ยงต่างๆอย่างรัดกุม
ขอโทษด้วยนะคะยาวไปหน่อย กินพื้นที่เยอะเลย

Anonymous said...

จริงๆ แล้วอีกส่วนหนึ่งของปัญหามันมาจากค่านิยมการมอง sex เป็นเรื่องของการแสดงอำนาจของฝ่ายชายรึเปล่า? เป็นเพราะว่าคนหัวโบราณหลายคน (หลายๆ ชาติพันธุ์ ไม่ใช่แค่คนไทย) ชอบมองว่า sex เป็นเรื่องที่ผู้ชาย "ได้" และผู้หญิง "เสีย" ตลอดเวลา จริงๆ แล้วมันควรจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?
Michel Foucault บอกว่า sex เป็น power struggle อย่างหนึ่งนะ ค่านิยมของสังคมโดยรวมเป็นอย่างไร เหยียดเพศหญิงอย่างไร ให้อภิสิทธิกับเพศชายอย่างไร ไม่เท่าเทียมกันอย่างไร ก็สะท้อนออกมาที่กิจกรรมในมุ้งของสมาชิกในสังคมแต่ละคนนั่นเอง ณ วันหนึ่งที่สังคมให้หญิงชายมีความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง sex จะไม่ใช่เรื่องการได้ "ฟันหญิง" ของฝ่ายชาย และไม่ใช่การ "เสียตัว" ของฝ่ายหญิงอีกต่อไป แต่จะเป็นแค่ "การแลกเปลี่ยนของเหลว" ที่มีได้มีเสียเท่ากันทั้งสองฝ่าย เมื่อนั้นการขายบริการทางเพศก็จะเป็นแค่การขายบริการอีกอย่างหนึ่ง เหมือนการขับรถแท็กซี่ การตัดผม หรือการนวดแผนโบราณ ไม่จำเป็นว่าคนซื้อจะต้องมีอำนาจมากกว่าคนขายเสมอไป และไม่จำเป็นว่าคนขายจะต้อง "ถูกหลอก" ให้มาขาย หรือ "ถูกบีบบังคับ" ให้มาขายเหมือนที่สังคมปัจจุบันพยายามให้เราเข้าใจอีกต่อไป...เมื่อถึงวันนั้น...การค้าประเวณีอาจจะไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องแก้ไขอีกต่อไป (รึเปล่า?)

David Ginola said...

ถ้าการซื้อขายเซ็กส์นั้นเป็นการสมยอมกันของทั้งสองฝ่าย และไม่ได้ก่อให้เกิด negative externality คือไปกระทบกระเทือนส่งผลเสียต่อครอบครัว ต่อคนอื่น หรือต่อสังคมแล้ว (แต่ต้องดูผลกระทบที่เป็น dynamic นะ) มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปปราบปรามมัน...

แต่ถ้าเราคิดดูแล้ว เห็นว่ามันมีผลกระทบทางลบต่อสังคมหรือใครก็ตาม หรือในบางกรณีผู้ซื้อและผู้ขายไม่ได้สมยอม... ก็ต้องปราบปราม

เช่นเดียวกับการพนันบอล หรือ หวย หรือ คาสิโน ฯลฯ