Thursday, December 15, 2005

ลมหนาวมา...ขอแก้ตัว

เอ่อ คือว่า.......

เนื่องจากบทควาทที่โพสต์คราวแล้วได้ก่อให้การตอบรับแบบที่ผมคาดไม่ถึง

ก็คือ ผู้เข้าเยี่ยมชมจำนวนมากได้เข้ามาให้กำลังใจ

ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งเป็นอันมาก.....

จึงต้องขอขอบคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ขอคารวะชาวบล็อคทุกท่าน หนึ่งจอก

มาถึงข้อความขอแก้ตัว ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ผมกลับมาโพสต์ในวันนี้

ก็คือ....จริงๆแล้วผมไม่ได้ท้อแท้อะไรหรอกครับ

แต่อารมณ์ปากกาในตอนที่เขียนมันพาไปเฉยๆ ก็เลยเหมือนกำลังท้อแท้มากมั้งครับ

เอาเป็นว่าผมเป็นพวกเครียดแล้วไม่นานก็หายดีกว่า

และตอนนี้ก็หายแล้วล่ะครับ (จริงๆนอนตื่นเดียวก็หายแล้วครับ)

เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ฟิตปั๋งเหมือนเดิม พร้อมเดินหน้าสอนหนังสือต่อไป ยังมีเรื่องใหญ่ให้ทำอยู่อีกเยอะครับ

.....เรื่องน่าหวั่นไหวในอนาคตยังมีอีกมากมาย ถ้าหวั่นไหวด้วยเรื่องแค่นี้ก็คงจะไปทำอะไรใหญ่ๆไม่ได้หรอกครับ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ อย่างน้อยก็ทำให้ผมรู้ว่ามีคนกำลังเอาใจช่วยผมอยู่พอควร

..............................

ตอนนี้อากาศหนาวแล้วนะครับ

ไม่รู้มีใครเคยเป็นแบบผมบ้างไหม เวลาหน้าหนาวเนี่ยจะรู้สึกเหมือนได้กลิ่นลม..ลมหนาวน่ะครับ

อาจจะเป็นเพราะผมเกิดหน้าหนาวด้วยก็ได้มั้งครับ พอได้กลิ่มลมที่ว่านี่แล้ว มันทำให้รู้สึกดียังไงก็ไม่รู้

ตอนนี้พอลมหนาวเริ่มพัดมา พวกปัญหาต่างๆก็เลยหายไปตามลมน่ะครับ

ก็หวังว่าลมหนาวที่พัดมาจะพัดเอาความสุขมาให้กับทุกๆคน

และก็พัดพาความเศร้าและปัญหาออกไปจากอกของทุกๆคนด้วยเหมือนกันนะครับ

Wednesday, December 07, 2005

โลกในอุดมคติ

บทความต่อไปนี้ เป็นบทความที่เขียนเชิงระบายความอัดอั้นบางอย่าง อาจจะมีหลายส่วนที่เป็นการมองโลกในแง่ร้าย ขอโปรดเข้าใจด้วยว่าคนเขียนอยากแจกจ่ายความอึกอัดออกจากใจ

โลกแห่งความจริง ฉันเป็นเหมือนคนตาบอด

โลกแห่งความฝันฉันมองเห็นมันสดใส

แต่ในวันนี้โลกแห่งความฝันทอดทิ้งฉันไปไหน...โลกไม่สดใสเหมือนวันก่อน


..............................

ผมคิดว่าบนโลกใบนี้ มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง

คนประเภทดังกล่าว....จะมีโลกใบหนึ่งอยู่ในความคิด

เป็นโลกแบบที่คนๆนั้นคิดฝันอยากให้มันเป็นจริง

ผมขอเรียกโลกแบบดังกล่าวว่า "โลกในอุดมคติ"

...โลกในอุดมคติ มีสังคมแบบที่คนๆนั้นคิดว่าดีงาม

...มีสิ่งที่คนๆนั้นเฝ้าฝันอยากให้เกิด เกิดขึ้นจริง

...........................

ผมคิดว่าผมก็เป็นคนหนึ่งที่มี "โลกในอุดมคติ" ของตัวเองอยู่เหมือนกัน

ตั้งแต่เด็ก ผมมักจะนั่งเหม่ออยู่ในความคิดอะไรบางอย่าง

บางครั้งก็เหมือนลอยไปอยู่บนโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งมีอยู่แต่ในจินตนาการ

นั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมไม่ชอบอยู่ในห้องที่ไม่มีหน้าต่าง เพราะมันทำให้ผมเหม่อได้ยาก

พอถึงวันหนึ่งที่ผมต้องเลือกทางเดินให้กับชีวิต

ผมก็เฝ้าคิดถามกับตัวเองว่า..ชีวิตในอุดมคติของผมมันจะเป็นเช่นไร???

คงเป็นโชคดีที่ผมได้รับรู้เรื่องต่างๆที่มีส่วนผลักดันชีวิตผมตอนนี้ ในวันที่ผมควรจะได้รู้มันที่สุด...

....ผมเลือกเดินตามทางของคนที่คิดว่า สังคมที่ดี มันจะเกิดขึ้นได้ถ้าผมเป็นส่วนหนึ่งที่พยายามให้มันเกิดขึ้น

...........................

เวลาผ่านไปจากวันที่ผมเลือกทางเดิน จนมาถึงวันที่ผมก้าวเข้าสู่ทางเดินนั้นๆอย่างเต็มตัวแล้ว

ผมกลายเป็นคนที่ "มีโลกในอุดมคติ" และพยายามให้ได้มาซึ่ง "ความจริงที่เป็นดั่งอุดมคติ" อยู่เสมอ

แม้นั่นอาจจะหมายถึงการต้องขัดแย้งกับคนที่ผมมองว่า "ไม่พยายามให้โลกมันดีขึ้น" บ้างในบางครั้ง

แต่มาถึงตอนนี้ ผมกลับครุ่นคิดถึงโลกในอุดมคติที่ผมเคยมี

ไม่ใช่เพราะผมลังเลที่จะเดินตามทางที่ผมวางไว้

แต่ผมกลับตั้งคำถามกับ "โลกในอุดมคติ" ของผม

...ผมเคยคิดว่า การฝ่าฟันให้ได้มาซึ่งโลกในอุดมคติ มันช่างน่านับถือดีแท้

มาวันนี้ ผมคิดว่ามันอาจเป็นการกระทำที่โดดเดี่ยวและสิ้นหวังก็ได้

........................

วันที่ผมเลือกเป็นอาจารย์ ผมมองอาชีพดังกล่าว เป็นอาชีพหนึ่งซึ่งมีคุณค่าเหลือเกิน

คุณค่าของการเป็นอาจารย์อยู่ที่การได้สร้างคน

น่าแปลก...ผมคงเป็นคนตกยุคกระมั้ง ที่คิดเอาแบบนี้

เพราะสำหรับหลายๆคนในรุ่นผม การเป็นอาจารย์ เหมือนการพาตนเองเข้าสู่วังวนแห่งความด้อย

ผมเคยตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์จากเพื่อนคนหนึ่งในเวลากลางคืน

เพื่อที่จะได้ยินคำถามที่ผมตอบไม่ได้ และไม่รู้จะตอบยังไง

"นายเป็นอาจารย์เหรอ เป็นทำไมวะ อาชีพกระจอก!!!"

...........................

และอีกสิ่งที่ผมคิดว่าผมมองพลาดไปก็คือ

ผมเคยคิดว่าอาชีพอาจารย์จะเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับนับถือ

แม้จะไม่ใช่จากสังคมรอบข้าง อย่างน้อยก็จากลูกศิษย์ที่ผมทำการสอน

ผมคงไม่ขออะไรมาก ขอแค่อย่างน้อยเขารู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มันดีกับตัวเขาก็พอแล้ว

ความคิดแบบดังกล่าวผลักดันให้ผมไปทำงานอยู่ได้ทุกวันอย่างมีพลัง

ผมอาจจะคิดผิดไปอีกอย่าง...

เพราะกับนักศึกษาหลายๆคนที่ผมได้เจอ

ทัศนคติของเขาต่อคนเป็นอาจารย์มันเปลี่ยนไป

หลายๆคนมองว่าอาจารย์เป็นอาชีพบริการอย่างหนึ่ง...เขาจ่าย...เราสอน

ถ้าเราบริการเขาไม่เป็นที่น่าพอใจ เขาก็มีสิทธิเต็มที่ที่จะทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการในร้านค้า(ห้องเรียน)

มันจะไปว่าเขาก็ไม่ถูกนัก

กับระบบการศึกษาที่เด็กนักเรียนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ใช้วิธี "ใช้เงินซื้อบริการ(ทางการศึกษา)ที่ดีกว่า" เพื่อตีตั๋วเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย

ซึ่งก็หมายถึง หาที่เรียนพิเศษดีๆ เพื่อจะได้เอ็นทรานซ์ติด นั่นล่ะ

ก็คงยากที่จะให้เขามีทัศนคติดีงามต่ออาชีพอาจารย์อยู่เหมือนเดิมได้

ตำนานของอาจารย์ที่พลิกชีวิตเด็กคนหนึ่งจากก้อนกรวดให้กลายเป็นทองได้...มันยิ่งกลายเป็นเรื่องในนิยายขึ้นทุกวัน

เพราะวันนี้อาจารย์กลับไม่ได้คงคุณค่าเช่นนั้นอีกต่อไป

คุณค่าของอาจารย์คงเหลือเพียง "ผู้มีสิทธิในการให้คุณโทษทางการศึกษา" ผ่านการให้เกรด

และคุณค่าของการเป็นอาจารย์ในลักษณะ "ผู้ให้ความรู้" ก็กลายเป็นแค่เรื่องรองจากการให้เกรดเท่านั้น

....ผมเคยคิดว่าความเห็นของอาจารย์น่าจะมีความหมายต่อนักศึกษา

แต่กับการได้สัมผัสโลกแห่งความจริงในตอนนี้

บางครั้งผมรู้สึกว่า....ความเห็นของผม มันไม่มีคุณค่า เพราะคุณค่าของผม มันช่างน้อยนิดในสายตาของเขา

คนที่เขาอยากรับฟังความคิดเห็น กลับกลายเป็นคนที่พวกเขามองว่ามีคุณค่า คือคนที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ มีรายได้เยอะๆ มีรถหรูๆขับ มีเงินทองใช้เหลือเฟือ

.........................

ด้วยเหตุผลดังกล่าว

บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนกับ "โลกในอุดมคติ" ของผมมันชักเริ่มจะแห้งแล้งไปบ้างเสียแล้ว

สิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดว่ามีคุณค่า เพราะมันมีคุณค่าสำหรับคนอื่น มันอาจจะไม่ได้มีคุณค่าสำหรับเขาจริงๆก็ได้

อืม......................

ฟังดูแล้วเศร้าๆ แต่ก็เป็นแง่มุมมืดที่เริ่มผุดขึ้นมาในใจของผมในตอนนี้

แม้จะเป็นแค่ส่วนน้อย แต่มันก็ก่อตัวขึ้นจากที่ไม่เคยมีมาก่อน

ผมรู้สึกกลัวเหลือเกินว่า วันหนึ่งมันจะเข้าเกาะกินจิตใจผมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ถึงวันหนึ่งผมอาจจะกลายเป็นคนที่ผมเคยไม่ชอบก็ได้

ผมอาจจะกลายเป็นอาจารย์ที่เข้าไปสอนให้ผ่านไปวันๆหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าทำการสอนได้ดีหรือเปล่า

พอใกล้ๆสอบ ผมก็บอกแนวข้อสอบเด็กไป แล้วก็ออกข้อสอบให้มันใกล้เคียง

สุดท้ายก็ตัดเกรดง่ายๆ แจกเอเยอะๆ

ผมคงสามารถอยู่ต่อไปได้ในสภาพดังกล่าวจนเกษียณ

..........................

ผมเชื่อว่าคนบนโลกนี้หลายๆคน เป็นคนที่มี "โลกในอุดมคติ" เป็นของตัวเองเหมือนอย่างที่ผมมี

แต่สิ่งที่ผมเชื่ออีกอย่างหนึ่ง

แม้จะไม่ได้ใส่ใจกับมันมาก่อน แต่ก็เริ่มรู้สึกถึงมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในตอนนี้แล้ว

ก็คือ พวกคนที่ใช้ชีวิตเพื่อพยายามสร้างโลกในอุดมคติของตนเองให้เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้

"มักจะต้องพบกับความผิดหวังในบั้นปลาย"

แล้วคุณล่ะมี "โลกในอุดมคติ" ไหม?

Monday, June 27, 2005

ค่ายตามรอยอาจารย์ป๋วย

ฮ่าๆ หลังจากที่ผมหลบไปกินเหล้าย้อมใจอยู่นาน ในที่สุดผมก็กลับมาแล้ว

เปล่าผมล้อเล่นน่ะคร้าบ จริงๆแล้ว ที่ผมหายไปเพราะกำลังยุ่งอยู่กับโครงงานที่ทำให้กับนักศึกษาที่คณะ

เป็นโครงการใหม่เอี่ยมครับ มีชื่อว่า "ค่ายตามรอยอาจารย์ป๋วย"

ก็เป็นการพานักศึกษาปีหนึ่งประมาณ 150 คน ไปเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ป๋วย โดยการเดินทางไปมูลนิธิบูรณะพัฒนาชนบทที่ชัยนาท
จะไปกันอีกไม่ถึงสองอาทิตย์เนี่ยครับ คุณปิ่นเลยอดไปแน่ๆ เพราะกลับมาไม่ทัน

ด้วยความที่ผมเป็นอาจารย์รุ่นเด็ก(สุดๆ)ก็เลยง่ายที่จะร่วมมือทำงานกับนักศึกษาที่ก็เป็นรุ่นน้องผมทั้งนั้น และหลายๆคนก็รู้จักชื่อเสียงกันมานานตั้งแต่ที่ผมยังทำกิจกรรมนักศึกษาอยู่ ผมเลยได้มือดีมาทำงานนี้ร่วมกันมากมาย โดยเฉพาะคุณชล สุดยอดนักกิจกรรม เจ้าของBlogที่มีLinkอยู่ข้างๆเนี่ยครับ

ถือเป็นการรวมตัวสร้างกิจกรรมใหม่ครั้งสำคัญของคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์เลยก็ว่าได้
ทั้งนักศึกษาภาคภาษาไทย และภาษาอังกฤษ อาจารย์ฝ่ายการนักศึกษา และสมาคมเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ที่เป็นผู้ให้เงินสนับสนุน

ไหนๆก็เล่ามาแล้ว เพื่อเป็นการรับผิดชอบกับที่หายไปนาน ผมเลยมีงานเขียนที่เพิ่งร่างเสร็จมาให้อ่านกัน

เป็นเหมือนคำนำของค่ายนี้ครับ

ลองอ่านดูนะครับ ผมพยายามจะเขียนให้ซึ้งๆ แต่ไม่รู้จะเลี่ยนไปรึเปล่า และก็ยังไม่ได้เกลาเลยครับ

สายใยแห่งเจตนารมณ์…ป๋วย อึ๊งภากรณ์

คุณเชื่อเหมือนผมไหม ? ว่าชะตาชีวิตของคนเรา...มักจะมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่
....................................

เช้าวันหนึ่งที่ประเทศอังกฤษ เมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว ผมได้รู้จักชายที่ชื่อ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ผมเรียกเขาว่า “อาจารย์ป๋วย” ในเวลาต่อมา เป็นครั้งแรก

การได้รู้จักท่านในครั้งนั้น...ผมไม่ได้พบกับตัวจริงของท่าน แต่ผมแค่ได้รู้จักท่านผ่านตัวหนังสือ

ขณะที่ผมกำลังหนีจากการเข้าเรียนในโรงเรียนที่ผมมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน โดยการอ้างว่าป่วย เพื่อจะได้นอนพักอยู่ต่อไปในหอพัก ผมได้หยิบหนังสือชีวประวัติเล่มโตของนักวิชาการสำคัญคนหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ผมเคารพรักออกมาอ่าน

และผมก็ได้ทราบว่า อาจารย์ของผมท่านนั้น ชื่นชมอาจารย์ป๋วยเป็นอย่างยิ่ง โดยการเขียนถึงความดีของอาจารย์ป๋วย อยู่ในหนังสือของเขาหลายตอน

การได้อ่านถึงเรื่องของชายที่ชื่อ ป๋วย อึ้งภากรณ์ ผ่านหนังสือชีวประวัติของอาจารย์ท่านนั้น กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผมขึ้นมาพอสมควร

.....ผมอยากรู้ว่า ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นใคร ทำไมถึงได้รับการยกย่องเหลือเกินจากอาจารย์ของผม
.....ผมอยากรู้ว่า ทำไม ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ถึงได้รับการชื่นชมว่าเป็นคนดีที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ประเทศไทยเคยมี

แต่ก็คงเหมือนกับใครหลายคน ความอยากรู้อยากเห็นของผมในวันนั้น จบลงเพียงความทรงจำเพียงว่า ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นคนดีมากๆคนหนึ่ง .....เท่านั้น

............................................

เมื่อผมกลับมาจากการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ผมต้องทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของชีวิต
….ผมต้องเลือกทางเดินให้กับอนาคตของผม

ความที่ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงหลังจากการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจมานาน การได้เห็นความทุกข์ยากของผู้คนที่เกิดจากความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ กระตุ้นให้ผมสนใจเลือกทางเดินในการเป็น “หมอรักษาโรคเศรษฐกิจ” ให้กับสังคม
ผมเริ่มมองถึงความเป็นไปได้ในการเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในสาขาเศรษฐศาสตร์

และในช่วงเวลานั้นเอง ผมก็บังเอิญได้พบกับชายที่ชื่อ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อีกครั้ง

วันหนึ่ง ด้วยแรงดลใจอะไรบางอย่าง ผมได้ค้นชั้นหนังสือเก่าที่บ้านเพื่อหาหนังสือออกมาอ่านเล่น
.....และผมก็ได้พบว่า พ่อของผมเคยสะสมหนังสือเล่มเล็กๆหลายเล่มที่เป็นหนังสือชีวประวัติของอาจารย์ป๋วย

ความทรงจำของผมกระตุ้นให้ผมหยิบหนังสือเล่นเล็กๆเหล่านั้น ออกมาอ่านทีละเล่มๆ

ผมยังจำได้ดีถึงความชื่นชมที่เกิดขึ้นในใจของผม เมื่อได้ทราบถึงเรื่องราวของอาจารย์ป๋วยโดยละเอียด

.....การได้อ่านหนังสือชีวประวัติของอาจารย์ป๋วยเหล่านั้น ทำให้ผมรู้สึกถึงคุณค่าของชีวิตคนๆหนึ่ง ว่ามีมากเหลือเกิน หากว่าคนๆนั้นเลือกดำเนินชีวิตในทางที่เปี่ยมไปด้วยการให้และเสียสละ

ด้วยความสามารถและชื่อเสียงเกียรติยศทีมากมาย อาจารย์ป๋วยยังเลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่าย และที่สำคัญคือคงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริตตลอดชีวิตการทำงาน

การได้พบกับอาจารย์ป๋วย อีกครั้งหนึ่งในวันนั้น ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงคุณค่าแห่งวิถีการเป็น “นักเศรษฐศาสตร์ที่ดี” และช่วยให้ผมตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ ว่าผมอยากจะเรียนเศรษฐศาสตร์

และหลังจากวันนั้นไม่นาน ผมก็ได้เข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักที่อาจารย์ป๋วยเป็นผู้วางรากฐานไว้
“เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์”

……………………………………….

ช่วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตผมพลิกผันเป็นอย่างยิ่ง
….ไม่ใช่ว่าผมพบเจอกับเรื่องเลวร้ายอะไร แต่ผมได้พบเจอกับเรื่องดีๆมากมายอย่างไม่น่าเชื่อต่างหาก

และหนึ่งในเรื่องดีๆที่ผมได้รับในมหาวิทยาลัยนั้น เป็นความห่วงใยอย่างใกล้ชิดจากอาจารย์ท่านหนึ่ง

ในขณะที่ผมเองกำลังสับสนไปกับความเปลี่ยนของชีวิต จากเด็กที่ไม่มีความสามารถอะไรโดดเด่น กลายเป็นนักเรียนที่เรียนดีและได้รับความสนใจจากรอบข้าง

….คงเหมือนกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่เป้าหมายชีวิตที่เคยวางไว้ มันก็เลือนหายไปกับสภาพแวดล้อมบ้าง และแม้ว่ามันจะยังอยู่ แต่ผมก็ยังคิดไม่ออกว่าความฝันกับความจริงมันจะไปด้วยกันได้อย่างไร

เป็นความโชคดีที่ผมได้รู้จักกับอาจารย์ท่านหนึ่งโดยบังเอิญ

และก็บังเอิญที่อาจารย์ท่านนั้นได้กลายเป็นอาจารย์ที่สนิทชิดเชื้อกับผมอย่างมากในเวลาต่อมา

เขาเป็นคนที่แนะนำให้ผมรู้จักกับคนหลายๆคนรวมถึงตัวเขาเอง ที่ยืนหยัดทำในสิ่งที่เขาเชื่อมั่นว่ามีคุณค่า แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เขามีชื่อเสียงหรือเงินทองมากมายก็ตาม

……และเขาก็เป็นคนที่คอยเตือนให้ผมระลึกถึงเป้าหมายที่ตัวเองเคยวางไว้ ไม่ให้มันจางหายไปกับสภาพแวดล้อม และช่วยให้ผมเกิดพัฒนาการทางความคิดในด้านต่างๆมากมาย ที่ผมเองคงไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง

หากขาดการชี้แนะจากเขาไป ผมก็คงไม่ได้มีหนทางเฉกเช่นในปัจจุบัน

เมื่อถึงเวลาที่ผมกำลังจะจบการศึกษา....เขาก็เป็นคนที่ผลักดันให้ผมคว้าโอกาสที่สำคัญอย่างยิ่งของชีวิตไว้

ผมเคยรู้สึกแปลกใจ เมื่อคิดไปว่าทำไมอาจารย์ท่านนั้นถึงได้ให้สิ่งดีๆมากมายกับผม

เมื่อได้รู้คำตอบถึงเหตุผล ผมเองก็ยังไม่อยากเชื่อเหมือนกัน

ที่อาจารย์ท่านนั้นให้สิ่งที่ดีๆกับผม ก็เพราะเคยมีอาจารย์ของเขาท่านหนึ่งให้สิ่งดีๆแบบเดียวกันกับเขา
และที่อาจารย์ของเขาให้สิ่งดีๆกับเขา ก็เพราะเคยได้รับความปรารถนาดีแบบเดียวกันจากอาจารย์ท่านหนึ่งและอยากจะสืบสานความปรารถนาดีเหล่านั้นให้กับคนรุ่นต่อไปเพื่อเป็นการตอบแทน

และอาจารย์คนที่เริ่มสายสัมพันธ์แห่งความปรารถนาดีท่านนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น
...เขามีชื่อว่า ”ป๋วย อึ๊งภากรณ์”

………………………………

ในวันที่ผมได้รับฟังเรื่องโครงการนำนักศึกษาไปเรียนรู้เรื่องอาจารย์ป๋วยเป็นครั้งแรก
ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ผมปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องทำ

.....ด้วยความโชคดีต่างๆที่ผมเคยได้รับจากคนที่ไม่เคยได้พบเจอตัวจริงอย่างอาจารย์ป๋วย ทำให้ผมรู้สึกว่าผมคงเห็นแก่ตัวเกินไปหากจะเก็บความโชคดีเหล่านั้นไว้เพียงคนเดียว

และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้น ของความพยายามทุ่มเทให้เกิด ”ค่ายตามรอยอาจารย์ป๋วย” ของผม

ผมอยากให้ทุกคนที่ได้เข้ามาสู่คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ได้ทำความรู้จักกับอาจารย์ป๋วย และได้ข้อคิดต่างๆติดตัวไปในการดำเนินชีวิตในอนาคต

ผมอยากให้ทุกคนที่ได้เข้าร่วม “ค่ายตามรอยอาจารย์ป๋วย” ได้รับรู้ และเป็นส่วนหนึ่งของ “สายใยแห่งเจตนารมณ์” ที่อาจารย์ป๋วยมีให้กับสังคมไทยและลูกศิษย์ของท่านทุกคน

.....คงไม่มีใครที่จะเหมาะสมในการทำสิ่งเหล่านี้ไปกว่าเหล่าศิษย์ของท่าน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นศิษย์โดยตรงก็ตาม

ผมเชื่อว่าการที่ผมได้เข้ามาอยู่ที่นี่ และมุ่งมั่นทำสิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้ มันเป็นความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้สิ่งต่างๆที่เคยได้พบเจอ ที่ผมเรียกมันว่า “ชะตาชีวิต”

และผมก็เชื่ออีกเช่นกัน ว่าการที่ทุกท่านได้มาร่วมกันในที่นี้ มันมีส่วนมาจาก ”ชะตาชีวิต” ของพวกท่าน

หวังว่าการได้เข้าร่วม “ค่ายตามรอยอาจารย์ป๋วย” ครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นความรู้สึกอะไรบางอย่างจากใจของท่านได้

ขอเพียงแค่ให้วันหนึ่ง ก่อนที่ท่านจะทำอะไร ให้รู้สึกว่าท่านก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ป๋วยเช่นกัน และศิษย์ของอาจารย์ป๋วยก็ควรจะสืบสานเจตนารมณ์ของท่าน ทั้งด้วยการกระทำของตัวเอง และด้วยการให้ความปรารถนาดีกับคนอื่นๆต่อไป

ให้ชะตาชีวิตที่นำพาท่านมาสู่ที่แห่งนี้ ที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ นั้นมีความหมายที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า

……………………………………

คุณเชื่อเหมือนผมหรือยัง ? ว่าชะตาชีวิตของคุณเอง...ก็มีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่

Tuesday, June 14, 2005

เฮ้อ ชะตากรรม หนอ ชะตากรรม

เฮ้อ ชะตากรรมหนอ ชะตากรรม

ไม่อยากเชื่อเลยว่าเวลาสี่ปีผ่านไป ผมจะต้องมาพบเจอเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน
....เรื่องราวที่เศร้าปนขำ แบบหัวเราะหึๆในลำคอได้พร้อมน้ำตาคลอเบ้า

..............................................

ณ ช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับตอนนี้เมื่อสี่ปีก่อน
...ในบ่ายวันที่ท้องฟ้าสดใส เหมือนจะเป็นใจให้กับความรักของคนทุกคน

ผมกำลังอยู่กับเธอคนนั้น เธอคนที่ผมเฝ้าใฝ่ฝันถึงมานาน
ความฝันของรักแรกในรั้วมหาวิทยาลัยของผมกำลังเป็นจริง!!

ผมและเธอเริ่มความสัมพันธ์อันดีมาเป็นระยะเวลาพอควรแล้ว
และกำลังก้าวผ่านเส้นแบ่งของคำว่าเพื่อนไปสู่อะไรที่มากกว่านั้น

แต่แล้วในบ่ายวันนั้นเอง ผมก็ต้องได้ยินอะไรที่ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
เธอคนนั้นบอกกับผมว่า

"....เราว่าเราก็ชอบเธอนะ แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่พร้อม เราอยากให้หยุดความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเธอไว้เพียงแค่นี้"

ผมฟังแล้วอึ้ง คิดอะไรไม่ออกไปนานหลายวัน กลืนไม่เข้า คลายไม่ออก กินข้าวไม่ลง
....แต่ในใจก็ยังสู้ต่อ หวังว่าวันหนึ่งเธอนั้นจะพร้อม

จนได้มาเรียนรู้ในอีกหลายเดือนต่อมาว่า ที่เธอบอกว่าไม่พร้อมนั้น หมายถึงไม่พร้อมสำหรับผม แต่กับอีกคนหนึ่งเธอกลับพร้อมแล้ว

..................................................

สี่ปีผ่านไป ไม่อยากเชื่อว่าจะต้องได้ยินคำกล่าวที่คล้ายคลึงกันอีกครั้ง ในสถานที่ที่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร

".....กรรมการเห็นว่าคุณตอบคำถามได้ดี และคุณสมบัติคุณก็ดี แต่มันมีปัจจัยอย่างอื่นที่ทำให้คุณไม่ได้ทุน"

มารับรู้ทีหลังว่า ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ตัวผมเองไม่อาจทำอะไรได้จริงๆ เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับตัวผม

ความรู้สึกกลืนไม่เข้า คลายไม่ออก กินข้าวไม่ลง กลับมาอีกครั้ง

โชคยังดีที่ครานี้มันมาไม่นาน เพียงแค่สองชั่วยามก็ผ่านไป
เทียบกับคราวก่อนที่ความรู้สึกดังกล่าวมาเยือนนานนับเดือนแล้ว ก็ถือว่าผมทำใจรับสภาพได้เก่งกว่าเดิมมาก

............................................

บางครั้งผมก็รู้สึกแปลกๆกับเหตุการณ์ทั้งสองอย่างข้างต้น เพราะมันมีอะไรบางอย่างที่คล้ายกันอยู่ภายใน

ทั้งสองเหตุการณ์นำมาซึ่งความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

มันเหมือนกับ AC Milan ที่ไม่ได้แชมป์เพราะความโชคดีสุดๆของทีมขวัญใจชาวเมมทั่วโลก
และมันก็เหมือนกับคนที่ทำอะไรได้ดี แต่ไม่เคยดีพอจะได้อะไร

สิ่งที่เหมือนกันกว่านั้นคือ ความตลกเศร้าของชะตากรรม

บางครั้งชะตากรรมที่ผมได้พบก็ทำให้ผมรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมา
แต่บางครั้งชะตากรรมก็ทำให้ผมต้องพบกับความเศร้าแบบงงงง ทำตัวไม่ถูก

แต่มันก็เป็นสัจธรรมของโลกมนุษย์ที่ทุกคนจะต้องเจอ

Monday, June 06, 2005

Mission (Possible?) of My Life

เนื่องจากวันมะรืนนี้ผมกำลังจะเข้าสัมภาษณ์ทุน
คำถามที่ผมพบบ่อยมากในขณะนี้คือ....

เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?

ผมเองเกิดคำถามขึ้นในใจอยู่เสมอเวลาได้ยินคำถามดังกล่าว
เอ...ไอ้การถูกสัมภาษณ์ทุนเนี่ย มันจะต้องเตรียมตัวยังไงฟะ?

มันคงไม่เหมือนกับการสัมภาษณ์นางงาม...แบบที่มีลิสต์คำถามที่เป็นไปได้ แล้วก็มานั่งหาคำตอบสวยๆ หรูหรา ชนะเลิศ

จะทำแบบนั้นมันก็ได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราไม่ได้คิดอย่างที่เราตอบ
ถ้าเขาให้ทุนผมมา แล้วผมทำไม่ได้ หรือไม่กะจะทำตามที่ผมบอก ผมก็หลอกเขาน่ะสิ

คิดดูแล้ว ผมคงบอกไปตามจริงนั่นล่ะ เอาแบบที่ผมกะไว้ว่าจะทำอยู่แล้ว
จะได้ไม่ได้ก็ความคิดผม แผนการชีวิตของผม

แต่ทีนี้ผมจะบอกแผนการชีวิตของผมกับเขาว่ายังไงดี

เอางี้ ช่วยผมหน่อยละกัน...ผมขออนุญาตให้พวกท่านเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ผมดีกว่า
ถ้าใครไม่เคยเป็นก็ลองสวมวิญญาณครูอ้วน มาให้คะแนนดันดารากันหน่อย

คำถามต่อไปนี้เป็นคำถามที่ผมคาดว่าจะต้องโดนแน่ๆในการสัมภาษณ์ครั้งนี้

ช่วยฟังคำตอบของผมดูนะครับ ว่าซึ้งไม่ซึ้ง
หากมีคอมเมนต์ด้วยจะดีมากๆเลย

................................................

คำถามแรก ผมอยากจะทำอะไรต่อไปในอนาคต

คำถามนี้ตอบง่ายในเบื้องต้น
เพราะผมก็เป็นอย่างที่ผมอยากเป็นอยู่แล้ว คือเป็นอาจารย์

ทำไมผมถึงมาเป็นอาจารย์...
ผมชอบอาชีพนี้ด้วยเหตุผลสามประการ

ประการแรก ผมได้สอน ได้สร้างความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ๆ
ผมคิดว่าการประสิทธ์ประสาทความรู้ให้กับคนอื่นๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอันดับแรกๆที่คนๆหนึ่งจะทำได้
ผมมีความสุขเวลาที่ได้สอน เพราะมันรู้สึกอยู่ตลอดว่าสิ่งที่ทำมันมีค่า อย่างน้อยผมก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างสังคมให้ดีขึ้น

ประการที่สอง ผมสามารถทำหน้าที่นำทางให้กับสังคม
การเป็นนักวิชาการย่อมหมายถึงผมจะเป็นคนๆหนึ่งทีมีหน้าที่ศึกษาวิจัยเพื่อป้องกันไม่ให้สังคมถูกชี้นำไปในทางที่ไม่ควร และให้คำแนะนำแนวทางที่ผมเห็นว่าสมควรได้ หน้าที่ดังกล่าวมีค่ามากเหลือเกินสำหรับผม

ประการที่สาม ผมมีอิสระในการทำงาน
แน่นอน การเป็นอาจารย์ช่วยให้ผมไม่ต้องทำงานเพื่อให้ใครพอใจ หากผมคิดยังไงผมก็พูดก็เขียนได้ตามที่ผมคิด ไม่ต้องเกรงว่าหน้าที่การงานของผมจะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ความอิสระดังกล่าวเป็นความสุขที่หาได้ยากจริงๆในอาชีพอื่น

ในอนาคตผมอาจจะเปลี่ยนตัวเองไปอยู่ในอาชีพอื่นบ้างก็ได้ แต่ก็คงหลังจากผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขกับหน้าที่ต่างๆในการเป็นอาจารย์ข้างต้นอีกต่อไป หรือผมได้รับความท้าทายใหม่ๆที่ยากจะปฎิเสธ
.............................

คำถามที่สอง ผมอยากจะเรียนทางด้านไหน สิ่งที่ผมจะไปเรียนจะมีประโยชน์อย่างไร

ผมอยากจะไปเรียนด้านการพัฒนา
ผมมาเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ เพราะผมชอบที่วิชานี้มันสามารถใช้พัฒนาความเป็นอยู่ของคนได้

เมื่อผมได้เข้ามาร่ำเรียนวิชานี้จริงๆ ผมเห็นปัญหาใหญ่ที่ผมอยากจะแก้ไข

ผมอยากจะแก้ปัญหาความแตกต่างทางระดับการพัฒนาในประเทศของเรา
ผมมองว่าประเทศไทยนั้น ยังมีความแตกต่างระหว่างความเป็นอยู่ในเมืองกับในชนบทอยู่มาก

ในขณะที่คนเมืองส่วนใหญ่มีระดับรายได้และมาตรฐานการครองชีพที่ดีและค่อนข้างดี คนในชนบทจำนวนมากยังต้องทำงานที่รายได้ต่ำกว่ามาก ทั้งยังมีเสรีภาพพื้นฐานที่จะได้รับการศึกษา การสาธารณสุข การมีส่วนร่วมทางการเมือง และการเข้าถึงตลาดที่ด้วยกว่าคนเมืองมาก

ผมไม่ได้หมายความว่าเราควรจะพัฒนาชนบทให้เป็นเมือง ชนบทควรมีวิถีของตัวเอง
แต่อย่างน้อยคนชนบทก็ควรได้รับเสรีภาพพื้นฐาน(ขออนุญาตใช้คำว่าเสรีภาพ ตามแนวคิดเรื่องการพัฒนาดุจเสรีภาพของ อมาร์ตยา เซน)ข้างต้นเท่าเทียมกับคนเมือง

จะได้มาด้วยวิธีใดนั้น ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ที่รัฐจะต้องสร้างโครงสร้างที่เหมาะสม

หัวใจหลักสุดท้ายของการพัฒนาชนบทก็อยู่ที่ตัวคนชนบทเอง

พอมีเสรีภาพที่ผมเสนอมาข้างต้นอย่างเพียงพอแล้ว กุญแจสุดท้ายที่จะดึงชาวชนบทออกจากวงจรของปัญหาความยากจนได้ก็คือความสามารถในการประกอบการ (Entrepreneurship) ของชาวชนบท ซึ่งรัฐต้องพยายามสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพในด้านดังกล่าวให้กับพวกเขา

ทั้งหมดคือแนวคิดด้านการพัฒนาที่มาจากองค์ความรู้อันน้อยนิดของผม

เรื่องหนึ่งที่น่าแปลกคือ แม้คนในประเทศของเราจะรู้ตัวมานานแล้วว่าเราเป็นประเทศที่ขาดความเท่าเทียม แต่ความพยายามที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังก็ยังหายาก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ดูเหมือนคนในสังคมเราจะชินกับสภาพ และไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาอะไรเสียแล้ว

ที่น่ากลัวก็คือ ปัญหาของชนบทในปัจจุบันกลับดูจะแย่ลงเรื่อยๆ
เมื่อชนบทต้องเผชิญกับระบบทุนนิยม ที่พวกเขาถูกกระตุ้นให้บริโภคมากๆ และแก้ปัญหารายได้ไม่พอใช้ด้วยการกู้ยืม หนี้สินมากมายก็ตามมา และยิ่งภายใต้นโยบายรัฐที่สนับสนุนปรากฏการณ์ดังกล่าวเช่นในปัจจุบัน หมิ่นเหม่เหลือเกินที่ชนบทอาจจะถูกดึงเข้าสู่ภาวะล้มละลาย

สำหรับคำถามที่ว่าสิ่งที่ผมอยากไปเรียนจะมีประโยชน์กับประเทศอย่างไร

ผมคิดว่ามันจะมีประโยชน์มาก
อย่างน้อยคนที่เลือกไม่ได้แต่ต้องเกิดมาเป็นคนไทย ก็จะได้มีโอกาสที่จะได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม
ลองคิดดูสิ หากคุณกำลังจะลงมาเกิดที่ประเทศไทยในตอนนี้ คุณคงลุ้นแทบตายว่าจะเกิดเป็นชาวชนบท หรือเกิดเป็นคนในเมือง เพราะสภาพความเป็นอยู่ที่คุณจะได้รับมันจะแตกต่างกันมาก

สังคมไม่น่าจะโหดร้ายกับความแตกต่างที่เลือกไม่ได้ขนาดนี้

แต่มากกว่านั้น ผมคิดว่าการแก้ปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียม จะช่วยให้การพัฒนาด้านอื่นๆง่ายยิ่งขึ้น
ความล้มเหลวของกระบวนการพัฒนาสังคมไทยในปัจจุบันหลายๆด้าน เช่น การพัฒนาประชาธิปไตย หรือ การพัฒนาการสาธารณสุข ก็ล้วนมาจากความพยายามเอาระบบที่ตนเองคิดว่าดีมาครอบลงบนโครงสร้างที่มีความไม่เท่าเทียมกันสูง

ผลก็คือระบบเหล่านั้นไม่สามารถให้ผลที่ดีได้ตามคาด หรือแม้กระทั่งอาจให้ผลที่แย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ

การแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมจึงเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ช่วยสนับสนุนการพัฒนาด้านอื่นๆของสังคมได้ต่อไป

.........................................

คำถามที่สาม ผมวางแผนอะไรไว้ในอนาคตบ้าง

ผมแบ่งชีวิตของตนเองที่เหลือไว้เป็นสี่ช่วง

ช่วงแรกคือช่วงอายุ 22-30

ผมคิดว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ในการหาความรู้ ซึ่งหมายถึงการเรียนต่อจนจบปริญญาเอกนั่นเอง ผมอาจจะจบกลับมาก่อนอายุสามสิบก็ได้ แต่ยังไงก็คิดว่าจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงนี้ศึกษาหาความรู้ในด้านอื่นๆต่อไป รวมทั้งฝึกฝนการทำงานให้เป็นมืออาชีพ ฝึกวัตรปฏิบัติให้มีความพากเพียร และฝึกการวางตัวให้เหมาะสม

ช่วงที่สองคือช่วงอายุ 30-40

ผมคิดว่าช่วงนี้ผมจะใช้ความสามารถที่ตัวเองมีอยู่กับงานประจำของผมในการเป็นอาจารย์ให้เต็มที่ ตามการคาดหมายของผมนั้น ช่วงเวลาดังกล่าวจะประจบเหมาะกับเวลาที่คณะอันเป็นที่รักต้องการหนุ่มสาวรุ่นใหม่ๆมาเป็นแรงขับเคลื่อนพอดี ผมจะลุยงานต่างๆที่เข้ามาให้ถึงที่สุด และสั่งสมประสบการณ์เพื่อสร้างตัวเองให้สุกงอม

ช่วงที่สามคือช่วงอายุ 40-55

ช่วงนี้จะเป็นช่วงจุดสูงสุดของการทำงานของผม ซึ่งถึงเวลานั้นแล้วผมอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายความสำเร็จที่ผมอยากจะได้รับไปตามสภาวะที่เปลี่ยนไป ทั้งของตัวเองและภายนอก ผมเองอาจจะเปลี่ยนที่ทำงานก็เป็นได้ หากเป้าหมายและความท้าทายที่ผมมีมันไม่เหมือนเก่า แต่ถึงอย่างไรผมจะไม่ทิ้งอุดมการณ์เดิมที่ผมมีมาแต่ต้น การทำงานในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ประสบการณ์ของผมที่สุกงอมแล้วจะถูกดึงออกมาใช้อย่างเต็มที

ช่วงที่สี่คือช่วงอายุ 55-อำลา

ตัวผมเองก็ไม่รู้จะอยู่ถึงตอนนั้นหรือเปล่า แต่ถ้าผมอยู่ถึง ผมจะใช้เวลาช่วงนั้นเป็นช่วงสุดท้ายที่ผมจะทำงาน งานของผมในตอนนั้นจะไม่เป็นงานบริหารหรืองานที่ต้องลุยอีกต่อไป ผมอยากจะใช้เวลาในช่วงปลายของชีวิตการทำงานเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ของผมให้กับคนรุ่นหลัง อย่างน้อยเขาก็จะได้เรียนรู้จากความสำเร็จและล้มเหลวที่ผมได้รับ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะกลับไปใช้ชีวิตเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนที่ผมรักและเติบโตมาในวัยเด็ก

.............................

รู้สึกว่าจะเขียนมายาวแล้ว เดี๋ยวคนอ่านจะอ่านไม่ไหวเสียก่อน

ต้องขอโทษด้วยที่ผมนำท่านๆเข้ามารู้เรื่องที่ตัวท่านเองไม่ค่อยได้รับประโยชน์อะไร

คิดเสียว่าทำบุญให้ผมโดยการนั่งฟังผมสาธยายเรื่องของตัวเองละกันครับ

ขอบคุณทุกท่านหากท่านอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ขอบคุณจริงๆ

..............................

Tuesday, May 31, 2005

มหาลัยฯเหมืองแร่

จริงๆแล้วผมได้เขียนถึงหนังเรื่อง Hotel Rwanda ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

แต่ก็อย่างที่ทราบกันนะครับ...ว่ามันได้กลายเป็นวิญญาณแห่งโลกไซเบอร์สเปซไปแล้ว

และตัวผมเองก็ยังไม่ได้ทำพิธีฟื้นคืนชีพให้มันเสียที

จนมาถึงวันนี้ ผมได้ไปดูหนังดีเรื่องหนึ่งมา

ดีจนผมเองรู้สึกว่าจะไม่เขียนถึงไม่ได้

...ก็เลยขอเลื่อนพิธีปลุกวิญญาณ Hotel Rwanda ไปก่อน

ไว้ให้มันเฮี้ยนขึ้นมาหลอกหลอนผมอีกซักพักแล้วจะเขียนเน้อ

........................................



มหาลัยฯเหมืองแร่ เป็นเรื่องที่สร้างจากนิยายชีวิตของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ปีพ.ศ.2534

นิยายชีวิตเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายธรรมดา
...แต่เป็นนิยายที่ถ่ายทอดชีวิตจริงของคุณอาจินต์เอง

จากการที่ถูกรีไทรฺจากคณะวิศวะ สำนักสามย่าน ในตอนปีสอง
...จนระเห็จระเหินตัวเองไปเรียนรู้ชีวิตอยู่ที่เหมืองแร่เล็กๆในจังหวัดพังงา

ตลอดเวลาประมาณสองชั่วโมงที่ผมได้ดูหนังเรื่องนี้นั้น
บอกตรงๆเลยว่ารู้สึกอินมากๆ

คงเป็นเพราะผมเองก็เคยได้ไปอยู่ในเหมืองแร่ที่มีลักษณะคล้ายๆกันมาก่อน

อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมเองไม่ได้ถูกรีไทร์แล้วระเห็จไปทำงานแบบคุณอาจินต์

แต่ผมได้ไปเรียนรู้ชีวิตในชนบทในวิชาพัมนาชนบทไทยในช่วงที่ผมเป็นนักศึกษา
และหมู่บ้านที่ผมไปอยู่ก็ดันเป็นเหมืองเก่าในภาคใต้เหมือนกัน

ฉากหลายๆฉากในหนังที่ได้เห็นเลยละม้ายคล้ายคลึงกับภาพในอดีตที่ผมประสบมายังไงยังงั้น

........................................

เข้าเรื่องหนังดีกว่า

สิ่งที่ผมประทับใจกับหนังเรื่องนี้มากก็คือ...ความมีชีวิตของมัน

หนังหลายๆเรื่องคุณอาจจะดูแล้วสนุก ตื่นเต้น
แต่มันไม่มีความหมายแห่งชีวิตอยู่ในนั้น

แต่หนังเรื่องนี้เปี่ยมไปด้วยความหมายแห่งชีวิต

ความหมายที่หลายๆคนก็เคยได้มีผ่านมาบ้าง
แต่บางครั้งเราเองก็ไม่ได้ฉุกคิด หรือมัวแต่ยุ่งเกินไปที่จะมองมัน

มีหลายครั้งที่ผมคิดไปว่า หากผมไปไม่ได้ถึงความฝันที่ยิ่งใหญ่ ที่เต็มไปด้วยความชื่นชมจากคนรอบข้าง ตัวผมเองคงจะล้มเหลว (ผมขอเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา อย่าว่ากันเลย)

ผมลืมไปว่าสิ่งสำคัญยิ่งของชีวิตล้วนอยู่รอบกายเราอยู่แล้ว

ความนับถือที่มีให้กับผู้อื่น ความซื่อสัตย์ ความกล้า มิตรภาพ สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย

อาจินต์เองก็คงเช่นกัน

จากความลัมเหลวในรั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ

เขาออกเดินทางไปสูเหมืองแร่ด้วยสภาพของคนที่สิ้นหวัง คนที่รู้สึกว่าตัวเองได้สูญเสียความฝันอันยิ่งใหญ่ไปเสียแล้ว

แต่สิ่งที่เขาได้พบในเหมืองแร่นั้นกลับทำให้ชีวิตเขาเริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้ง
....มันดึงเอาความหมายแห่งชีวิตกลับมาให้เขา

ตัวหนังเองก็สื่อถึงแค่วัตรปฎิบัติของคนงานเหมืองแร่ธรรมดาๆกับเจ้านายของเขา

แต่สิ่งที่ได้พบในนั้นมันกลับทำให้ผู้ได้รับรู้มีความสุข

ผมชื่นชอบนายฝรั่งของเหมืองแร่มาก
...เพราะเขาทำให้ผมได้เห็นภาพของผู้นำที่เข้าอกเข้าใจลูกน้อง ผู้นำที่ใจกว้างและกล้าจะมีเมตตาอย่างไม่จำกัด และซื้อใจคนมากมายได้ด้วยสิ่งนั้น

ผมชอบพี่จอน นายหัวใหญ่ของเรื่อขุดแร่
...เพราะเขาสามารถดึงภาพของรุ่นพี่มาดนักเลง แต่เปี่ยมไปด้วยมิตรภาพและความจริงใจให้กับคนอื่นๆ คนอย่างเขาเป็นพวกที่เห็น ความดีในตัวของคนที่ตัวเองคิดว่าเป็นศัตรูได้ง่ายๆ

ผมชอบคุณลุงที่คอยคุยกับอาจินต์ทุกคืน โดยมีแกงจืดที่เย็นชืดเป็นกับข้าวให้เสมอ
...เพราะความมีนำใจของแก และแง่มุมชีวิตที่สุดแสนจะคมคายที่แกนำเสนอ

และผมก็ชื่นชมคุณอาจินต์ในเรื่องนี้เอง เพราะถ้าไม่ใช่มุมมองของแกแล้ว จะมีใครฉุกคิดและดึงเอาสิ่งเหล่านี้ออกมานำเสนอได้อีก

นอกจากนี้ ยังมีคนอีกมากมายในเรื่องนี้ที่ความเป็นตัวตนของเขาเองทำให้ผมชื่นชอบ และมีความสุขเวลาที่ได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของเขาเหล่านั้น

ชีวิตของคนงานเหมืองที่มองผ่านๆไปแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ กลับแฝงไว้ด้วยความหมายแห่งชีวิตที่มากมาย

ตัวผมเองคงต้องย้อนกลับมาดูตนเองบ้างเหมือนกันแล้วล่ะ

ชีวิตที่วุ่นวายจนไม่ค่อยจะมีเวลามามองหรือมาคิดเรื่องอะไรในมุมเล็กๆของชีวิต คงเป็นรูปแบบชีวิตที่คนในปัจจุบันคุ้นเคยกันดี
แต่เพราะเรามัวอยู่แต่กับความวุ่นวายหรือเปล่า เราเลยมองข้ามสิ่งสวยงามที่อยู่กับตัวเราเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

หากเราค้นพบสิ่งที่สวยงามนั้นแล้ว ชีวิตคงจะมีค่าและมีความหมายได้โดยไม่ต้องพึ่งเกียรติยศ ชื่อเสียง และเงินทอง

......................................

เป็นโอกาสดีจริงๆที่ได้ไปดูหนังแบบนี้ในช่วงที่ผมต้องเตรียมตัวนำเสนอตัวเองเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนเงินทองไปเรียนต่อ (ทุน)

ผมเองค่อนข้างยุ่งจนไม่มีเวลามาคิดหาคำนำเสนอตัวเองที่สวยหรูทั้งหลาย (และก็ขี้เกียจคิดพอควร อยากตอบอะไรที่เป็นตัวเองมากกว่า)

การได้รู้ว่าความสวยงามของชีวิตมันก็อยู่กับตัวเราเองอยูแล้วมันก็ทำให้สบายใจ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม ว่าถึงอย่างไรเราก็ยังเป็นเรา ชีวิตก็ยังมีความหมาย ความสวยงามก็ยังมีให้เรามองไปพบมันได้อยู่เสมอ

ต้องขอโทษเพื่อนๆที่อยู่ต่างแดนและคงไม่มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ด้วย ที่การเล่ามาครั้งนี่อาจทำให้ท่านเกิดกิเลสที่ไม่บรรลุ

ไว้ท่านกลับมาเมืองไทยกันแล้วก็อย่าลืมหามาดูกันให้ได้นะครับ

Thursday, May 26, 2005

เสียรู้ โง่สุดๆ

คุณเชื่อไหมว่าผมเพิ่งเขียนบทความที่ตั้งใจสุดๆ และยาวอย่างยิ่งเสร็จเรียบร้อย

และเสียมันไปในชั่วพริบตา

พริบตาเดียวที่ผมหารูปมาแปะบทความให้ครบถ้วนก่อนจะกด Publish

ผมเองซึ่งยัง Post รูปไม่เป็นต้องเสียรู้ครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อ blog มันขึ้นหน้าใหม่มาเปล่าๆ


ขอโทษ...ผมไม่ได้โง่อย่างที่คุณคิด เพราะผมกด copy บทความเผื่อไว้แล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้น

แต่ผมโง่กว่านั้น เมื่อพยายามทำการ post รูป โดยการกด copy อีกครั้งเพื่อนำโค๊ดข้อความที่จำเป็นในการ post รูปมาไว้ในหน้าใหม่

รู้ตัวก็เมื่อสาย จะลงรูปไปทำไม เพราะบทความนั้น ไม่มีวันเรียกกลับมาได้แล้ว



ขอไว้อาลัยให้บทความของผมที่ไม่มีใครรู้เสียแล้วว่ามันมีอยู่จริง

บทความที่ผมตั้งหน้าตั้งตาเขียนมาสามชั่วโมงเต็ม และตรวจทานเสร็จแล้ว


ช่วงนี้ผมงานยุ่งมากๆ บวกกับเครียดๆ อีกต่างหาก งานก็หลุดเบลอๆไปเยอะ
วันนี้กลับมาเขียนบล็อคเพื่อคลายเครียด แต่....เศร้า


ไว้จะมาเขียนบทความที่หายไปใหม่นะครับ บอกไว้ก่อนว่าผมเขียนถึงหนังเรื่อง Hotel Rwanda

Thursday, May 12, 2005

กระต่ายน้อยในดงเสือ

ต้องขอโทษทุกท่านด้วยที่ผมหายไปนาน

......ก็ตอนนี้มันยุ่งมันยุ่งจัง งานมันอีรุงตุงนัง เลยยังไม่มีเวลาไปหา
ก็อยากให้ร้องเพลงรอ ร๊อ รอ รอ ก่อนได้มั๊ย รับรองได้เลย
จะกลับไปชดไปเชย ที่หายไปนาน แต่ตอนนี้
.......อย่าไปรักใคร อย่าไปชอบใครอย่า เอาหัวใจไปให้คนอื่น
จากไปหลายวัน ห่างกันหลายคืน อยากให้ช่วยยืนยันว่าเธอนั้นยังมี กะใจ


กระผมขอเลียนแบบศิษย์พี่ ในการเอาเนื้อเพลงมาแสดงอารมณ์ที่คุกกรุ่นอยู่ภายใน...ยากจะเก็บไว้
เอาล่ะ ไหนๆก็พูดถึงเขาแล้วผมขอใช้เขาอ้างอิงเข้าเรื่องเลยดีกว่า

ท่ามกลางความแตกต่างกันหลายๆอย่าง ผมมีอะไรอย่างหนึ่งที่เหมือนกับคุณปิ่น

....ผมไม่ได้เชียร์ทีมที่สามของพรีเมียร์ลีก (ที่สามครับ ที่สาม ไม่ใช่ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแน่ๆ) ที่ก้าวผ่านยุคทองเข้าสู่ยุคตกต่ำ และกำลังจะโดนย้ำว่าเป็นรองทีมที่ดีกว่า(และอันดับเหนื่อกว่า) ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เหมือนเขา
....และผมไม่ใช่ดาราขวัญใจวัยรุ่นในอดีตเหมือนเขา(ฮ่าๆๆ)

แต่ที่เหมือนกันก็คือ ผมหลุดเข้ามาในดงเสือร้ายในช่วงที่ตัวเองยังเป็นเพียงเด็กกระเตาะกระแตะ
เสือร้ายที่ผมหมายถึงไม่ใช่เสือร้ายในความหมายแรกที่คุณคิดออก(และที่ผมก็คิดออกเช่นกัน)
แต่ผมกำลังหมายถึงเหล่านักวิชาการที่คณะของผม ผู้ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนเป็นนักคิดระดับต้นๆในสายวิชาที่ผมร่ำเรียนมาทั้งนั้น
พูดง่ายๆก็คือ ผมเข้ามาอยู่ในแวดวงอาจารย์มหาวิทยาลัยตั้งแต่จบปริญญาตรี

การโดนแวดล้อมด้วยนักวิชาการระดับหัวกะทิมากมาย ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนด้อยไปมาก
หลายๆครั้งเวลาที่เขาพูดอะไรที่เป็นวิชาการมากๆผมก็ฟังไม่รู้เรื่อง ได้แต่นั่งพยักหน้าเออออไปเรื่อยๆ
บางครั้งเวลาที่อาจารย์ท่านอื่นๆเขาพูดถึงนักวิชาการคนโน้นคนนี้ ทฤษฏีโน้นทฤษฎีนี้ ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นใคร ทำอะไร คิดอะไรวะ

คงเป็นเพราะการเรียนรู้ในระดับป.ตรี(ที่เมืองไทยนะครับ ประเทศอื่นไม่รู้เป็นไง)ยังไม่ได้เตรียมตัวให้คนมาเป็นนักวิชาการ
การจบตรีมันแค่ทำให้เราพอหาเลี้ยงชีพได้ ด้วยการใช้ใบปริญญาเป็นใบผ่านทางกับคนจ้างงาน

อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังมองมันในแง่ดี
การได้เข้ามาอยู่ในภาวะแบบนี้ มันช่วยกดดันให้ผมต้องพัฒนาตัวเองไม่ให้เป็นจุดอ่อนของชุมชนจนเกินไป

อย่างนั้นก็เถอะ ผมรู้สึกว่าชุมชนอาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นชุมชนที่มีลักษณะเฉพาะตัวจริงๆ
คงไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่เราจะได้อยู่กับนักคิดที่เก่งกาจมากมายอย่างนี้
ผมชอบนะ เวลาที่ได้คุยกับคนที่เก่งๆแล้วมันได้อะไรที่ปิ๊งขึ้นมาในหัวเลย ซึ่งผมก็ได้มากที่สุดจากที่นี่นั่นล่ะ

แต่ก็ยังมีหลายๆอย่างที่ผมยังข้องใจอยู่...

อย่างแรกคือ นักวิชาการเหมาะจะเป็นนักบริหารหรือไม่

ผมคิดว่าสองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน
นักวิชาการชั้นเลิศอาจไม่มีวันเป็นนักบริหารที่ดีได้เลย
เพราะว่าทั้งสองอย่างมันใช้ความสามารถคนละแบบ

นักวิชาการอาจจะเก่ง แม่น ละเอียด ในเรื่องความคิด และมีความรอบรู้ที่ยากจะมีใครเทียบ
แต่นักบริหาร โดยเฉพาะผู้ที่บริหารคน ต้องมีศิลป์ มีความยืดหยุ่นสูง ยิ่งทำงานกับคนมากและทำงานกับคนเก่ง ยิ่งต้องยืดหยุ่นมาก
คนนั้นเป็นคนอย่างไร คนนี้ต้องการอะไร นักบริหารต้องเข้าใจถึงความคิดความรู้สึกของคนที่อยู่รอบข้าง แล้วบริหารคนเหล่านั้นเพื่อให้องค์กรของตัวเองก้าวหน้าไปข้างหน้าและประสบความสำเร็จ

ผมคิดว่านักวิชาการส่วนน้อยด้วยซ้ำ ที่จะสามารถเป็นนักบริหารที่ดีได้
เพราะนักวิชาการส่วนใหญ่จะทำงานคนเดียว ไม่ต้องยุ่งกับคนอื่นมาก อาจจะมีการทำงานเป็นทีมบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นการแบ่งงานกันทำ
เมื่อต้องทำงานคนเดียวมากๆเข้า ผมว่ามันก็จะชินกับบรรทัดฐานของตัวเอง
เมื่อต้องมาบริหารคน ความอยากจะเข้าใจคนอื่นมันก็อาจจะหายไป เพราะพยายามจะเข้าใจตัวเองมากกว่า

นั่นก็เป็นโครงสร้างที่ทำให้ผมคิดว่า นักวิชาการส่วนใหญ่ไม่น่าจะเป็นนักบริหารที่ดีได้
ไม่ได้หมายความว่าเป็นไม่ได้นะครับ นักวิชาการบางคนอาจจะมีพรสวรรค์หลายด้านรวมทั้งด้านการบริหารมาตั้งแต่เกิด แต่ผมคิดว่าคนพวกนั้นหายาก

สรุปแล้วก็คือ
ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยยังสับสนเรื่องนักวิชาการกับนักบริหารอยู่
มหาวิทยาลัยน่าจะลองผสมผสาน นำนักบริหารจริงมาคุมการทำงานในส่วนที่ต้องใช้ความสามารถในการบริหารล้วนๆบ้าง
เช่น การวางแผนพัฒนา การบริหารคน ไม่ใช่พยายามผูกขาดหน้าที่เหล่านี้ให้กับนักวิชาการอย่างเดียว
ส่วนหน้าที่ที่มีผลเชิงวิชาการ เช่น การบริหารวิชาการ หรือ กิจกรรมนักศึกษา ก็ให้นักวิชาการทำต่อไป

ผมคิดว่าคนเหล่านี้น่าจะมีความเชี่ยวชาญในการบริหารเรื่องพวกนี้มากกว่านักวิชาการส่วนใหญ่
แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นคนที่เข้าใจปรัชญาเรื่องการศึกษานะครับ

อย่างที่สองก็คือ นักวิชาการกับการเป็นข้าราชการ

คือผมคิดว่า นักวิชาการในมหาวิทยาลัยรัฐของเราเนี่ย ไปๆมาๆจะถูกครอบงำโดยระบบราชการเข้าเสียแล้ว
คงเป็นเพราะการเป็นอาจารย์ในสมัยก่อนก็คือการเป็นข้าราชการ
และมหาวิทยาลัยก็เป็นหน่วยงานราชการเช่นกัน พนักงานในมหาวิทยาลัยก็เป็นข้าราชการ

ผมไม่ได้หมายความว่าการเป็นข้าราชการไม่ดีนะครับ แต่ด้วยอนิจลักษณะหลายๆอย่าง ทำให้ผมคิดว่าเราเสียบรรยากาศความเป็นวิชาการไปกับความเป็นราชการเยอะ
ผมคิดว่าระบบราชการมันยังเต็มไปด้วยกฎระเบียบที่ยุ่งยาก ไร้สาระ ที่ไม่อำนวยกับความอิสระที่นักวิชาการพึงมี

ผมเคยออกไปเยี่ยมชนบทกับอาจารย์ผู้ใหญ่ พอเห็นกระบวนการเบิกจ่ายเงินแล้วก็รู้สึกในใจว่า ทำไมมันยุ่งอย่างนี้เนี่ย ให้เรามาเองเราก็คงขี้เกียจมา หรือไม่ก็มาเองเลยดีกว่า ไม่ต้องมาแบบราชการหรอก

อันนั้นยังไม่เท่าไหร่ ที่แย่กว่านั้นก็คือ พออยู่ไปนานๆ เข้าเหล่าอาจารย์บางท่านก็ติดกรอบความคิดแบบราชการไปเลย
พอจะทำอะไรก็ต้องอิงระเบียบ การแต่งตั้ง ต้องเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีก็ทำอะไรไม่ได้
หรือแม้กระทั้งบางท่านก็กลายเป็นเช้าชามเย็นชามแบบข้าราชการไทยยุคคลาสสิกก็มี
เหล่านี้บางครั้งมันก็ทำให้เกิดต้นทุนที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับวงวิชาการของเรา

พูดไปพูดมาก็นึกไปถึงการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัย
ผมเคยวิเคราะห์ไว้ว่ามหาวิทยาลัยของเราไม่มีวันออกนอกระบบได้ภายในสิบปีที่จะถึงนี้
....ทำไมน่ะหรือครับ
ก็โครงสร้างแรงจูงใจในการออกนอกระบบของคนในมหาวิทยาลัยมันไม่มีน่ะสิ
เพราะหลังจากเห็นโครงสร้างผลตอบแทนของพนักงานมหาวิทยาลัยเทียบกับข้าราชการมหาวิทยาลัยแล้ว ผมรู้สึกว่าระบบการคิดค่าผลตอบแทนของพนักงานมหาวิทยาลัยโดยเทียบจากข้าราชการที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้น มันทำให้การเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งด้อยกว่าข้าราชการทันที
ผลตอบแทนที่ผมหมายถึงไม่ได้หมายความแค่เงินเดือนนะครับ แต่หมายถึงสิทธิประโยชน์ทั้งหมดที่จะได้รับจากการทำงาน เช่น บำเหน็จ บำนาญ ค่ารักษาพยาบาลพ่อแม่ เป็นต้น

คงไม่มีเหล่าข้าราชการมหาวิทยาลัยอยากจะเปลี่ยนสถานะของตนเองให้ด้อยลงกว่าเดิมหรอก

ที่เขียนมาหวังเพียงเพื่อเสนอปัญหาเฉยๆ ผมไม่ได้มาเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยขึ้นค่าตอบแทนให้พนักงานนะครับ (เดี๋ยวจะติดคดีเหมือนป.ป.ช.ซะ) แค่อยากจะบอกว่าวิธีคิดในปัจจุบันมันน่าจะเปลี่ยน หากต้องการให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบจริงๆ ก็ควรให้คนในมหาวิทยาลัยเห็นประโยชน์จากการออกนอกระบบได้ชัดเจน ไม่ใช่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองจะต้องเสียประโยชน์

ว้า เขียนมาซะนานเชียว
พอดีไม่ได้อัพเดตนานน่ะครับ ต้องขอโทษอีกครั้ง
ยังไงพอผ่านช่วงยุ่งๆไปแล้ว จะมาเขียนให้บ่อยๆนะครับ คราวหน้าว่าจะเขียนเกร็ดความรู้สนุกๆบ้าง พอดีไปอ่านอะไรน่าสนใจมาอยากจะเล่าให้ฟังครับ

Saturday, May 07, 2005

แนะนำกันก่อนว่ากระต่ายน้อยมาจากไหน

ก่อนที่ทุกท่านจะรู้สึกคันเท้าจากชื่อblogไปมากกว่านี้
ต้องขอแนะนำก่อนเล็กน้อยว่าเหตุใดจึงเลือกใช้ชื่อ กระต่ายน้อย

หากท่านใดที่รู้จักผมก็อาจพอทราบที่มาของชื่อ ว่าเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ในคืนวันที่ผมโดนหักหลังเละเทะด้วยตราบาปที่ศิษย์พี่ที่สุดรักอุตสาหะนำมาฆ่ากัน
....แต่หากไม่รู้จักผมมาก่อน
ก็ขอออกตัวว่าที่เลือกชื่อ กระต่ายน้อยก็เพราะ
....ผมเป็นแค่กระต่าย?

เปล่าครับ ที่จริงแล้วผมเลือกชื่อนี้ด้วยความบริสุทธิใจ ไม่มีเบื้องหลังใดๆ ไม่มีการปกปิดตนเอง
แค่อยากลองให้พวกท่านเรียกผมแบบน่ารักๆเท่านั้น

ลองคิดดูซิว่า จะฟังสบายขนาดไหนถ้ามีคนโพสเถียงกับผมโดยเรียกผมว่าคุณกระต่ายน้อย
"ผมคิดว่าตรรกกะของคุณกระต่ายน้อยยังไม่ถูกนัก โปรดปรับปรุง"
"ความคิดของคุณกระต่ายน้อยยังไม่ครอบคลุมทุกแง่มุมของเรื่องดังกล่าว"
ฟังสบายกว่าชื่อหนุ่มสิบเจ็ดที่บางคนพยายามตั้งให้เป็นไหนๆใช่ไหมล่ะ ท่านปิ่น

อีกเรื่องหนึ่งนอกจากชื่อblogที่อยากเล่าให้ฟัง คือทำไมผมถึงเริ่มเขียนblog
ผมชอบขีดๆเขียนๆมานานพอควร แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นผู้มีฝีมือในการขีดเขียน
ส่วนมากจะคิดไม่ตกว่าจะเขียนอะไรดี และก็กลัวว่าเขียนไปแล้วมันจะไม่จบ หรือมันจะห่วยเกิน
แต่หลังจากที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมblogของหลายๆท่านแล้วรู้สึกประทับใจ ก็เลยอยากมีกับเขาบ้าง
ผมเลยลงมือเปิดblogของตนเองทันที

ความทันทีครั้งนั้นขาดความเข้าทีอย่างแรง เพราะเปิดเสร็จปุ๊ปชื่อblogชื่อหนึ่งก็หายไปจากสารบบโดยเปล่าประโยชน์ ก็ผมเล่นซัดซะชื่อจริง นามสกุลจริง อย่างนี้น้องตั้กก็คงไม่ต้องเสียเวลาตามหาผู้ร้ายใจโฉดโพสรูปลับเลยล่ะซิ (แค่วลีเปรียบเทียบ อย่าเข้าใจผิด blogผมเป็นblogวิชาการ)
ถึงอย่างไรผมก็ยังไม่ละความพยายาม......

และหลังจากที่เตรียมเปิดblogอีกที่หนึ่งแล้วก็อ้ำอึ้งไม่รู้จะเขียนอะไรมานาน ในที่สุดความอ้ำอึ้งของผมก็จบลงแบบมีคาตาไลต์
ผมโดนมัดมือชกแบบไม่รู้ตัว.....แบบข้ามโลกซะด้วย
ไม่ใช่เลยครับ ไม่ใช่เลยจริงจริ้งจอร์จ ความจริงมีผู้หวังดีแนะทางสว่างให้กับผมต่างหาก หลังจากคำแนะนำของเขาทำให้ผมมีวันนี้(ที่ดีกว่า)มาแล้ว ก็ต้องขอขอบคุณท่านผู้สอนสั่งความรู้"ทางโลก"ให้กับผมผู้นั้นมา ณ ที่นี้ด้วย

ผมชอบการที่เทคโนโลยีทำให้คนที่มีอะไรคล้ายกันหลายๆคนได้มาพบกัน
มันคงเป็นสวรรค์สำหรับคนที่ชอบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยเฉพาะเหล่านักวิชาการรุ่นใหม่ทั้งหลาย
เป็นที่ๆจะทำให้เราได้มีโอกาสปลดตัวเองออกจากความหมกหมุ่นในหัวสมอง แล้วลองฟังคนอื่นบ้าง
เป็นที่ๆจะช่วยให้เราได้เรียนรู้และรับฟังคำติชมจากยอดฝีมือท่านอื่นๆ
หากเหล่าคนในวงวิชาการไม่ขวนขวายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเพื่อสร้างปัญญาแล้ว ใครอื่นเล่าในแผ่นดินจะเหมาะสม
ด้วยเห็นแล้วว่ามันมีข้อดีที่ปฏิเสธไม่ลงเช่นนี้...จึงขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์กับทุกท่าน

หากมีหลุดความไร้เดียงสาออกไปบ้างก็ขออย่าโกรธเคือง....ผมเองยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมาย

ขอให้ทุกท่านโปรดชี้แนะ "กระต่ายน้อย" คนนี้ด้วย

Thursday, May 05, 2005

กระต่ายน้อย First Post

ขอต้อนรับสู่โลกของกระต่ายน้อย