Tuesday, May 31, 2005

มหาลัยฯเหมืองแร่

จริงๆแล้วผมได้เขียนถึงหนังเรื่อง Hotel Rwanda ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

แต่ก็อย่างที่ทราบกันนะครับ...ว่ามันได้กลายเป็นวิญญาณแห่งโลกไซเบอร์สเปซไปแล้ว

และตัวผมเองก็ยังไม่ได้ทำพิธีฟื้นคืนชีพให้มันเสียที

จนมาถึงวันนี้ ผมได้ไปดูหนังดีเรื่องหนึ่งมา

ดีจนผมเองรู้สึกว่าจะไม่เขียนถึงไม่ได้

...ก็เลยขอเลื่อนพิธีปลุกวิญญาณ Hotel Rwanda ไปก่อน

ไว้ให้มันเฮี้ยนขึ้นมาหลอกหลอนผมอีกซักพักแล้วจะเขียนเน้อ

........................................



มหาลัยฯเหมืองแร่ เป็นเรื่องที่สร้างจากนิยายชีวิตของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ปีพ.ศ.2534

นิยายชีวิตเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายธรรมดา
...แต่เป็นนิยายที่ถ่ายทอดชีวิตจริงของคุณอาจินต์เอง

จากการที่ถูกรีไทรฺจากคณะวิศวะ สำนักสามย่าน ในตอนปีสอง
...จนระเห็จระเหินตัวเองไปเรียนรู้ชีวิตอยู่ที่เหมืองแร่เล็กๆในจังหวัดพังงา

ตลอดเวลาประมาณสองชั่วโมงที่ผมได้ดูหนังเรื่องนี้นั้น
บอกตรงๆเลยว่ารู้สึกอินมากๆ

คงเป็นเพราะผมเองก็เคยได้ไปอยู่ในเหมืองแร่ที่มีลักษณะคล้ายๆกันมาก่อน

อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมเองไม่ได้ถูกรีไทร์แล้วระเห็จไปทำงานแบบคุณอาจินต์

แต่ผมได้ไปเรียนรู้ชีวิตในชนบทในวิชาพัมนาชนบทไทยในช่วงที่ผมเป็นนักศึกษา
และหมู่บ้านที่ผมไปอยู่ก็ดันเป็นเหมืองเก่าในภาคใต้เหมือนกัน

ฉากหลายๆฉากในหนังที่ได้เห็นเลยละม้ายคล้ายคลึงกับภาพในอดีตที่ผมประสบมายังไงยังงั้น

........................................

เข้าเรื่องหนังดีกว่า

สิ่งที่ผมประทับใจกับหนังเรื่องนี้มากก็คือ...ความมีชีวิตของมัน

หนังหลายๆเรื่องคุณอาจจะดูแล้วสนุก ตื่นเต้น
แต่มันไม่มีความหมายแห่งชีวิตอยู่ในนั้น

แต่หนังเรื่องนี้เปี่ยมไปด้วยความหมายแห่งชีวิต

ความหมายที่หลายๆคนก็เคยได้มีผ่านมาบ้าง
แต่บางครั้งเราเองก็ไม่ได้ฉุกคิด หรือมัวแต่ยุ่งเกินไปที่จะมองมัน

มีหลายครั้งที่ผมคิดไปว่า หากผมไปไม่ได้ถึงความฝันที่ยิ่งใหญ่ ที่เต็มไปด้วยความชื่นชมจากคนรอบข้าง ตัวผมเองคงจะล้มเหลว (ผมขอเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา อย่าว่ากันเลย)

ผมลืมไปว่าสิ่งสำคัญยิ่งของชีวิตล้วนอยู่รอบกายเราอยู่แล้ว

ความนับถือที่มีให้กับผู้อื่น ความซื่อสัตย์ ความกล้า มิตรภาพ สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย

อาจินต์เองก็คงเช่นกัน

จากความลัมเหลวในรั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ

เขาออกเดินทางไปสูเหมืองแร่ด้วยสภาพของคนที่สิ้นหวัง คนที่รู้สึกว่าตัวเองได้สูญเสียความฝันอันยิ่งใหญ่ไปเสียแล้ว

แต่สิ่งที่เขาได้พบในเหมืองแร่นั้นกลับทำให้ชีวิตเขาเริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้ง
....มันดึงเอาความหมายแห่งชีวิตกลับมาให้เขา

ตัวหนังเองก็สื่อถึงแค่วัตรปฎิบัติของคนงานเหมืองแร่ธรรมดาๆกับเจ้านายของเขา

แต่สิ่งที่ได้พบในนั้นมันกลับทำให้ผู้ได้รับรู้มีความสุข

ผมชื่นชอบนายฝรั่งของเหมืองแร่มาก
...เพราะเขาทำให้ผมได้เห็นภาพของผู้นำที่เข้าอกเข้าใจลูกน้อง ผู้นำที่ใจกว้างและกล้าจะมีเมตตาอย่างไม่จำกัด และซื้อใจคนมากมายได้ด้วยสิ่งนั้น

ผมชอบพี่จอน นายหัวใหญ่ของเรื่อขุดแร่
...เพราะเขาสามารถดึงภาพของรุ่นพี่มาดนักเลง แต่เปี่ยมไปด้วยมิตรภาพและความจริงใจให้กับคนอื่นๆ คนอย่างเขาเป็นพวกที่เห็น ความดีในตัวของคนที่ตัวเองคิดว่าเป็นศัตรูได้ง่ายๆ

ผมชอบคุณลุงที่คอยคุยกับอาจินต์ทุกคืน โดยมีแกงจืดที่เย็นชืดเป็นกับข้าวให้เสมอ
...เพราะความมีนำใจของแก และแง่มุมชีวิตที่สุดแสนจะคมคายที่แกนำเสนอ

และผมก็ชื่นชมคุณอาจินต์ในเรื่องนี้เอง เพราะถ้าไม่ใช่มุมมองของแกแล้ว จะมีใครฉุกคิดและดึงเอาสิ่งเหล่านี้ออกมานำเสนอได้อีก

นอกจากนี้ ยังมีคนอีกมากมายในเรื่องนี้ที่ความเป็นตัวตนของเขาเองทำให้ผมชื่นชอบ และมีความสุขเวลาที่ได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของเขาเหล่านั้น

ชีวิตของคนงานเหมืองที่มองผ่านๆไปแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ กลับแฝงไว้ด้วยความหมายแห่งชีวิตที่มากมาย

ตัวผมเองคงต้องย้อนกลับมาดูตนเองบ้างเหมือนกันแล้วล่ะ

ชีวิตที่วุ่นวายจนไม่ค่อยจะมีเวลามามองหรือมาคิดเรื่องอะไรในมุมเล็กๆของชีวิต คงเป็นรูปแบบชีวิตที่คนในปัจจุบันคุ้นเคยกันดี
แต่เพราะเรามัวอยู่แต่กับความวุ่นวายหรือเปล่า เราเลยมองข้ามสิ่งสวยงามที่อยู่กับตัวเราเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

หากเราค้นพบสิ่งที่สวยงามนั้นแล้ว ชีวิตคงจะมีค่าและมีความหมายได้โดยไม่ต้องพึ่งเกียรติยศ ชื่อเสียง และเงินทอง

......................................

เป็นโอกาสดีจริงๆที่ได้ไปดูหนังแบบนี้ในช่วงที่ผมต้องเตรียมตัวนำเสนอตัวเองเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนเงินทองไปเรียนต่อ (ทุน)

ผมเองค่อนข้างยุ่งจนไม่มีเวลามาคิดหาคำนำเสนอตัวเองที่สวยหรูทั้งหลาย (และก็ขี้เกียจคิดพอควร อยากตอบอะไรที่เป็นตัวเองมากกว่า)

การได้รู้ว่าความสวยงามของชีวิตมันก็อยู่กับตัวเราเองอยูแล้วมันก็ทำให้สบายใจ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม ว่าถึงอย่างไรเราก็ยังเป็นเรา ชีวิตก็ยังมีความหมาย ความสวยงามก็ยังมีให้เรามองไปพบมันได้อยู่เสมอ

ต้องขอโทษเพื่อนๆที่อยู่ต่างแดนและคงไม่มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ด้วย ที่การเล่ามาครั้งนี่อาจทำให้ท่านเกิดกิเลสที่ไม่บรรลุ

ไว้ท่านกลับมาเมืองไทยกันแล้วก็อย่าลืมหามาดูกันให้ได้นะครับ

4 comments:

Anonymous said...

exellence...

tihtra said...

ว่าจะเขียนตั้งนานแล้วน้องกระต่ายฯ

มายั่วให้คนไม่ดุหนังอย่างผมดูหนัง อย่างนี้ต้องส่งหนังสือมาให้อ่านเป็นกำนัลเสียแล้ว

ว่ากลับไปคราวนี้ ต้องฝึกดูหนังกับเขาบ้าง จะได้พูดกับเขารู้เรื่องบ้าง และได้แง่คิดแง่มุมอื่นบ้าง

แต่ปัญหาอยู่ว่าจะไปดูกับใคร

ส่งสัยน้องกระต่ายฯ ต้องช่วยผมอีกประการแล้ว

David Ginola said...

รออ่าน hotel rwanda อยู่นะคับพี่กระต่ายน้อย

อ้อ เดี๋ยววันที่ 24 ผมกลับเมืองไทย ถ้าพี่กระต่ายน้อยว่าง ผมจะแวะไปคุยขอคำปรึกษาสักหน่อยนะคับ

Anonymous said...

สวัสดีคุณกระต่ายน้อยและเพื่อนๆ ขออนุญาตตุ๊กแกลายจุดตัวนี้เข้ามาแอบใน blog นี้หน่อยนะครับ

เพิ่งรู้ว่า กระต่ายน้อยก็เป็นคนอ่อนไหวไม่เบาเลย

ว่าแต่ว่า กระต่ายน้อยไม่น่าจะไปกังวลเรื่องสรรหาคำสวยหรูมา presentตัวเองเลย เป็นอย่างที่ตัวเองเป็นน่ะดีแล้ว ถ้าเป็นกระต่ายขาว ก็อย่าไปย้อมสี(เพราะถ้าสีตกแล้วเรื่องจะยุ่ง หรือไม่สีนั้นอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้) หรือถ้าเป็นเสือ ก็ไม่ควรทำตัวเป็นแมว

ยังไงก็โชคดีละกัน แค่กระต่ายน้อยวิ่งหยองๆ สองสามที ก็เข้าเส้นชัยแล้ว (อย่าเผลอไปสะบัดก้นล่ะ เผื่อบางคนเป็นภูมิแพ้)

แล้วจะโผล่มาทักทายอีกนะครับ