Monday, June 06, 2005

Mission (Possible?) of My Life

เนื่องจากวันมะรืนนี้ผมกำลังจะเข้าสัมภาษณ์ทุน
คำถามที่ผมพบบ่อยมากในขณะนี้คือ....

เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?

ผมเองเกิดคำถามขึ้นในใจอยู่เสมอเวลาได้ยินคำถามดังกล่าว
เอ...ไอ้การถูกสัมภาษณ์ทุนเนี่ย มันจะต้องเตรียมตัวยังไงฟะ?

มันคงไม่เหมือนกับการสัมภาษณ์นางงาม...แบบที่มีลิสต์คำถามที่เป็นไปได้ แล้วก็มานั่งหาคำตอบสวยๆ หรูหรา ชนะเลิศ

จะทำแบบนั้นมันก็ได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราไม่ได้คิดอย่างที่เราตอบ
ถ้าเขาให้ทุนผมมา แล้วผมทำไม่ได้ หรือไม่กะจะทำตามที่ผมบอก ผมก็หลอกเขาน่ะสิ

คิดดูแล้ว ผมคงบอกไปตามจริงนั่นล่ะ เอาแบบที่ผมกะไว้ว่าจะทำอยู่แล้ว
จะได้ไม่ได้ก็ความคิดผม แผนการชีวิตของผม

แต่ทีนี้ผมจะบอกแผนการชีวิตของผมกับเขาว่ายังไงดี

เอางี้ ช่วยผมหน่อยละกัน...ผมขออนุญาตให้พวกท่านเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ผมดีกว่า
ถ้าใครไม่เคยเป็นก็ลองสวมวิญญาณครูอ้วน มาให้คะแนนดันดารากันหน่อย

คำถามต่อไปนี้เป็นคำถามที่ผมคาดว่าจะต้องโดนแน่ๆในการสัมภาษณ์ครั้งนี้

ช่วยฟังคำตอบของผมดูนะครับ ว่าซึ้งไม่ซึ้ง
หากมีคอมเมนต์ด้วยจะดีมากๆเลย

................................................

คำถามแรก ผมอยากจะทำอะไรต่อไปในอนาคต

คำถามนี้ตอบง่ายในเบื้องต้น
เพราะผมก็เป็นอย่างที่ผมอยากเป็นอยู่แล้ว คือเป็นอาจารย์

ทำไมผมถึงมาเป็นอาจารย์...
ผมชอบอาชีพนี้ด้วยเหตุผลสามประการ

ประการแรก ผมได้สอน ได้สร้างความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ๆ
ผมคิดว่าการประสิทธ์ประสาทความรู้ให้กับคนอื่นๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอันดับแรกๆที่คนๆหนึ่งจะทำได้
ผมมีความสุขเวลาที่ได้สอน เพราะมันรู้สึกอยู่ตลอดว่าสิ่งที่ทำมันมีค่า อย่างน้อยผมก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างสังคมให้ดีขึ้น

ประการที่สอง ผมสามารถทำหน้าที่นำทางให้กับสังคม
การเป็นนักวิชาการย่อมหมายถึงผมจะเป็นคนๆหนึ่งทีมีหน้าที่ศึกษาวิจัยเพื่อป้องกันไม่ให้สังคมถูกชี้นำไปในทางที่ไม่ควร และให้คำแนะนำแนวทางที่ผมเห็นว่าสมควรได้ หน้าที่ดังกล่าวมีค่ามากเหลือเกินสำหรับผม

ประการที่สาม ผมมีอิสระในการทำงาน
แน่นอน การเป็นอาจารย์ช่วยให้ผมไม่ต้องทำงานเพื่อให้ใครพอใจ หากผมคิดยังไงผมก็พูดก็เขียนได้ตามที่ผมคิด ไม่ต้องเกรงว่าหน้าที่การงานของผมจะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ความอิสระดังกล่าวเป็นความสุขที่หาได้ยากจริงๆในอาชีพอื่น

ในอนาคตผมอาจจะเปลี่ยนตัวเองไปอยู่ในอาชีพอื่นบ้างก็ได้ แต่ก็คงหลังจากผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขกับหน้าที่ต่างๆในการเป็นอาจารย์ข้างต้นอีกต่อไป หรือผมได้รับความท้าทายใหม่ๆที่ยากจะปฎิเสธ
.............................

คำถามที่สอง ผมอยากจะเรียนทางด้านไหน สิ่งที่ผมจะไปเรียนจะมีประโยชน์อย่างไร

ผมอยากจะไปเรียนด้านการพัฒนา
ผมมาเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ เพราะผมชอบที่วิชานี้มันสามารถใช้พัฒนาความเป็นอยู่ของคนได้

เมื่อผมได้เข้ามาร่ำเรียนวิชานี้จริงๆ ผมเห็นปัญหาใหญ่ที่ผมอยากจะแก้ไข

ผมอยากจะแก้ปัญหาความแตกต่างทางระดับการพัฒนาในประเทศของเรา
ผมมองว่าประเทศไทยนั้น ยังมีความแตกต่างระหว่างความเป็นอยู่ในเมืองกับในชนบทอยู่มาก

ในขณะที่คนเมืองส่วนใหญ่มีระดับรายได้และมาตรฐานการครองชีพที่ดีและค่อนข้างดี คนในชนบทจำนวนมากยังต้องทำงานที่รายได้ต่ำกว่ามาก ทั้งยังมีเสรีภาพพื้นฐานที่จะได้รับการศึกษา การสาธารณสุข การมีส่วนร่วมทางการเมือง และการเข้าถึงตลาดที่ด้วยกว่าคนเมืองมาก

ผมไม่ได้หมายความว่าเราควรจะพัฒนาชนบทให้เป็นเมือง ชนบทควรมีวิถีของตัวเอง
แต่อย่างน้อยคนชนบทก็ควรได้รับเสรีภาพพื้นฐาน(ขออนุญาตใช้คำว่าเสรีภาพ ตามแนวคิดเรื่องการพัฒนาดุจเสรีภาพของ อมาร์ตยา เซน)ข้างต้นเท่าเทียมกับคนเมือง

จะได้มาด้วยวิธีใดนั้น ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ที่รัฐจะต้องสร้างโครงสร้างที่เหมาะสม

หัวใจหลักสุดท้ายของการพัฒนาชนบทก็อยู่ที่ตัวคนชนบทเอง

พอมีเสรีภาพที่ผมเสนอมาข้างต้นอย่างเพียงพอแล้ว กุญแจสุดท้ายที่จะดึงชาวชนบทออกจากวงจรของปัญหาความยากจนได้ก็คือความสามารถในการประกอบการ (Entrepreneurship) ของชาวชนบท ซึ่งรัฐต้องพยายามสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพในด้านดังกล่าวให้กับพวกเขา

ทั้งหมดคือแนวคิดด้านการพัฒนาที่มาจากองค์ความรู้อันน้อยนิดของผม

เรื่องหนึ่งที่น่าแปลกคือ แม้คนในประเทศของเราจะรู้ตัวมานานแล้วว่าเราเป็นประเทศที่ขาดความเท่าเทียม แต่ความพยายามที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังก็ยังหายาก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ดูเหมือนคนในสังคมเราจะชินกับสภาพ และไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาอะไรเสียแล้ว

ที่น่ากลัวก็คือ ปัญหาของชนบทในปัจจุบันกลับดูจะแย่ลงเรื่อยๆ
เมื่อชนบทต้องเผชิญกับระบบทุนนิยม ที่พวกเขาถูกกระตุ้นให้บริโภคมากๆ และแก้ปัญหารายได้ไม่พอใช้ด้วยการกู้ยืม หนี้สินมากมายก็ตามมา และยิ่งภายใต้นโยบายรัฐที่สนับสนุนปรากฏการณ์ดังกล่าวเช่นในปัจจุบัน หมิ่นเหม่เหลือเกินที่ชนบทอาจจะถูกดึงเข้าสู่ภาวะล้มละลาย

สำหรับคำถามที่ว่าสิ่งที่ผมอยากไปเรียนจะมีประโยชน์กับประเทศอย่างไร

ผมคิดว่ามันจะมีประโยชน์มาก
อย่างน้อยคนที่เลือกไม่ได้แต่ต้องเกิดมาเป็นคนไทย ก็จะได้มีโอกาสที่จะได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม
ลองคิดดูสิ หากคุณกำลังจะลงมาเกิดที่ประเทศไทยในตอนนี้ คุณคงลุ้นแทบตายว่าจะเกิดเป็นชาวชนบท หรือเกิดเป็นคนในเมือง เพราะสภาพความเป็นอยู่ที่คุณจะได้รับมันจะแตกต่างกันมาก

สังคมไม่น่าจะโหดร้ายกับความแตกต่างที่เลือกไม่ได้ขนาดนี้

แต่มากกว่านั้น ผมคิดว่าการแก้ปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียม จะช่วยให้การพัฒนาด้านอื่นๆง่ายยิ่งขึ้น
ความล้มเหลวของกระบวนการพัฒนาสังคมไทยในปัจจุบันหลายๆด้าน เช่น การพัฒนาประชาธิปไตย หรือ การพัฒนาการสาธารณสุข ก็ล้วนมาจากความพยายามเอาระบบที่ตนเองคิดว่าดีมาครอบลงบนโครงสร้างที่มีความไม่เท่าเทียมกันสูง

ผลก็คือระบบเหล่านั้นไม่สามารถให้ผลที่ดีได้ตามคาด หรือแม้กระทั่งอาจให้ผลที่แย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ

การแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมจึงเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ช่วยสนับสนุนการพัฒนาด้านอื่นๆของสังคมได้ต่อไป

.........................................

คำถามที่สาม ผมวางแผนอะไรไว้ในอนาคตบ้าง

ผมแบ่งชีวิตของตนเองที่เหลือไว้เป็นสี่ช่วง

ช่วงแรกคือช่วงอายุ 22-30

ผมคิดว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ในการหาความรู้ ซึ่งหมายถึงการเรียนต่อจนจบปริญญาเอกนั่นเอง ผมอาจจะจบกลับมาก่อนอายุสามสิบก็ได้ แต่ยังไงก็คิดว่าจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงนี้ศึกษาหาความรู้ในด้านอื่นๆต่อไป รวมทั้งฝึกฝนการทำงานให้เป็นมืออาชีพ ฝึกวัตรปฏิบัติให้มีความพากเพียร และฝึกการวางตัวให้เหมาะสม

ช่วงที่สองคือช่วงอายุ 30-40

ผมคิดว่าช่วงนี้ผมจะใช้ความสามารถที่ตัวเองมีอยู่กับงานประจำของผมในการเป็นอาจารย์ให้เต็มที่ ตามการคาดหมายของผมนั้น ช่วงเวลาดังกล่าวจะประจบเหมาะกับเวลาที่คณะอันเป็นที่รักต้องการหนุ่มสาวรุ่นใหม่ๆมาเป็นแรงขับเคลื่อนพอดี ผมจะลุยงานต่างๆที่เข้ามาให้ถึงที่สุด และสั่งสมประสบการณ์เพื่อสร้างตัวเองให้สุกงอม

ช่วงที่สามคือช่วงอายุ 40-55

ช่วงนี้จะเป็นช่วงจุดสูงสุดของการทำงานของผม ซึ่งถึงเวลานั้นแล้วผมอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายความสำเร็จที่ผมอยากจะได้รับไปตามสภาวะที่เปลี่ยนไป ทั้งของตัวเองและภายนอก ผมเองอาจจะเปลี่ยนที่ทำงานก็เป็นได้ หากเป้าหมายและความท้าทายที่ผมมีมันไม่เหมือนเก่า แต่ถึงอย่างไรผมจะไม่ทิ้งอุดมการณ์เดิมที่ผมมีมาแต่ต้น การทำงานในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ประสบการณ์ของผมที่สุกงอมแล้วจะถูกดึงออกมาใช้อย่างเต็มที

ช่วงที่สี่คือช่วงอายุ 55-อำลา

ตัวผมเองก็ไม่รู้จะอยู่ถึงตอนนั้นหรือเปล่า แต่ถ้าผมอยู่ถึง ผมจะใช้เวลาช่วงนั้นเป็นช่วงสุดท้ายที่ผมจะทำงาน งานของผมในตอนนั้นจะไม่เป็นงานบริหารหรืองานที่ต้องลุยอีกต่อไป ผมอยากจะใช้เวลาในช่วงปลายของชีวิตการทำงานเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ของผมให้กับคนรุ่นหลัง อย่างน้อยเขาก็จะได้เรียนรู้จากความสำเร็จและล้มเหลวที่ผมได้รับ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะกลับไปใช้ชีวิตเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนที่ผมรักและเติบโตมาในวัยเด็ก

.............................

รู้สึกว่าจะเขียนมายาวแล้ว เดี๋ยวคนอ่านจะอ่านไม่ไหวเสียก่อน

ต้องขอโทษด้วยที่ผมนำท่านๆเข้ามารู้เรื่องที่ตัวท่านเองไม่ค่อยได้รับประโยชน์อะไร

คิดเสียว่าทำบุญให้ผมโดยการนั่งฟังผมสาธยายเรื่องของตัวเองละกันครับ

ขอบคุณทุกท่านหากท่านอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ขอบคุณจริงๆ

..............................

9 comments:

tihtra said...

เขียนดีมากๆ น้องกระต่ายฯ

ผมชอบ "แผน" อันนี้ของคุณด้วยใจจริง

ขอชมในสองประเด็นนะครับ หนึ่ง คุณเขียนดี สองความคิดคุณดีมาก

ถ้าผมเป็นกรรมการฯ ผมจะให้ทุนฯ คุณอย่างไม่มีข้อกังขา ด้วยคุณถึงพร้อมด้วยความดีประการทั้งปวง

แต่ถ้าไม่ได้ ก็อย่างที่พี่ชายปิ่นฯ ของคุณบอกไว้ "บางครั้งก็เป็นเรื่องของดวง" ดังที่แมคคีอาเวลลี่บอกไว้ว่า โชคชะตานั้นเหมือนสายน้ำ และผู้หญิง คุณจะสามารถควบคุมมันได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ขอให้ผ่านช่วงเวลานี้โดยเร็ววัน และทำตามฝันให้สำเร็จ แล้วผมจะคอยติดตามอยู่ห่างๆ บนทางอีกสายหนึ่งที่อาจจะได้ร่วมมือกันทำตามฝันของคุณ

pin poramet said...

ถ้าโชคชะตาเหมือนผู้หญิงจริง

เราก็ไม่มีอะไรต้องห่วงน้องกระต่ายของเราทั้งสองหรอกครับ คุณ tihtra

ฮ่าฮ่า

ผมก็ไม่มีอะไรจะวิจารณ์เพิ่มเติมน่ะครับ เพราะพ่อเสือน้อยก็รู้เช่นเห็นชาติความคิดผมในเรื่องพวกนี้ดีอยู่แล้ว คงเดาได้ว่าผมจะแนะนำหรือวิจารณ์ว่าอะไร

และก็คงรู้แก่ใจอยู่แล้วว่า ผมภูมิใจในตัวเขามากขนาดไหน

โชคดีนะน้องชาย

Anonymous said...

This mission should be POSSIBLE!

คุณกระต่ายน้อยมีความชัดเจนกับตัวเองดีจริงๆ น่าชื่นชม และขอปรบมือให้สองแปะ

แต่สมมตินะครับสมมติ สมมติว่ามีกรรมการถามกระต่ายน้อยว่า สมมติอีกนั่นแหละว่า ถ้าคุณได้รับข้อเสนอที่ดีมากๆ แต่ข้อเสนอนั้นต้องแลกกลับการเป็นอาจารย์ของคุณโดยที่คุณไม่ต้องเสียอะไรเลย คุณกระต่ายน้อยจะทำอย่างไร หรือในอีกกรณีหนึ่ง คุณกระต่ายน้อยพบกับใครคนหนึ่งที่สามารถทำให้คุณเปลี่ยนใจ (อันนี้ไม่ได้ถามเผื่อใคร)คุณกระต่ายน้อยจะว่ายังไง คุณจะบอกกับกรรมการว่าอะไรทำให้คุณไม่เปลี่ยน

อันนี้ถามเล่นๆ คิดไว้บ้างก็ดี แต่อย่าไปคิดมาก โชคดีละกัน

Bon chance!

Anonymous said...

คำถามที่เคยเจอ...และคิดว่าถ้าเตรียมได้ก็ดี

ทำไมคุณต้องไปศึกษาที่ประเทศ ... ไม่ใช่ประเทศ ... หรือประเทศ ...

อันนี้ถ้าทุนรัฐบาลไทย หรือของคณะ อาจจะท้าทายหน่อย อาจจะต้องทำการบ้านด้านศึกษาเปรียบเทียบนิดหนึ่ง

แต่ถ้าของรัฐบาลต่างชาติ ก็กรุณาโกหกไชโยไป ประมาณว่า หลักวิชาการด้าน .... ของ ประเทศ ... ได้มีการศึกษา สั่งสอน และพัฒนาไปสู่ระบบสังคมมานาน ... เห็นผลและวัดผลได้ชัดเจน ... และน่าจะปรับใช้กับประเทศไทยได้ ...

ส่วนคำถามที่ท่านเตรียมมานั้น ท่านทำการบ้านมาดีแล้วมิมีข้อวิจารณ์เป็นอื่น

Anonymous said...

หวัดดีค่ะ พี่ธร
เข้ามาดูบล็อกของพี่กิ๊ก แล้วก็เข้ามาอ่านของพี่ ชื่อที่ใช้เนี่ย น่ารักจริงๆ ด้วยค่ะ ตอนนี้ยังทำงานอยู่ก็เลยยังไม่มีเวลาอ่านของวันอื่นๆ แต่เบียร์ว่าพี่ต้องได้ทุนแน่ๆ ป่านนี้พี่อาจจะรู้ผลแล้วก็ได้ ขอให้โชดคีนะคะ แล้วหนังสือ ใช้เสร็จแล้วจะเอาไปคืนนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

Anonymous said...

เอาใจช่วยนะครับ หวังว่าคงจะประสบความสำเร็จดังที่มุ่งหวังไว้ครับ

Anonymous said...

ขอให้พี่กระต่ายน้อยทำ mission ได้สำเร็จเหมือนทอม ครูซนะคะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ratioscripta said...

มิชชั่น ของคุณกระต่ายน้อย เป็นไงบ้างครับ

แม้จะเป็นคนอยู่ไกลๆ แต่ก็แอบเอาใจช่วยอยู่ใกล้ๆครับ เพราะเชื่อในความรู้ ความสามารถและความดีของคุณ (ปกติไม่ควรเชื่อใครง่ายๆ แต่ถ้าได้รับการการันตีจากคุณปิ่นฯ แล้ว เชื่อขนมกินได้)

ดีใจที่ได้รู้จักกับคนเก่งและดีครับ

แล้วจะตามมาอ่านงานในบล็อกบ่อยๆครับผม

Anonymous said...

ติดตามมาจาก บล๊อก ฯพณฯ ปิ่น …..ผมว่า ไม่ต้องกังวลหรอก...จากการอ่านแล้ว ถ้ากรรมการไม่ให้ กรรมการคงตาถั่วแล้วฯ ขอให้โชดดีครับ