Monday, June 27, 2005

ค่ายตามรอยอาจารย์ป๋วย

ฮ่าๆ หลังจากที่ผมหลบไปกินเหล้าย้อมใจอยู่นาน ในที่สุดผมก็กลับมาแล้ว

เปล่าผมล้อเล่นน่ะคร้าบ จริงๆแล้ว ที่ผมหายไปเพราะกำลังยุ่งอยู่กับโครงงานที่ทำให้กับนักศึกษาที่คณะ

เป็นโครงการใหม่เอี่ยมครับ มีชื่อว่า "ค่ายตามรอยอาจารย์ป๋วย"

ก็เป็นการพานักศึกษาปีหนึ่งประมาณ 150 คน ไปเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ป๋วย โดยการเดินทางไปมูลนิธิบูรณะพัฒนาชนบทที่ชัยนาท
จะไปกันอีกไม่ถึงสองอาทิตย์เนี่ยครับ คุณปิ่นเลยอดไปแน่ๆ เพราะกลับมาไม่ทัน

ด้วยความที่ผมเป็นอาจารย์รุ่นเด็ก(สุดๆ)ก็เลยง่ายที่จะร่วมมือทำงานกับนักศึกษาที่ก็เป็นรุ่นน้องผมทั้งนั้น และหลายๆคนก็รู้จักชื่อเสียงกันมานานตั้งแต่ที่ผมยังทำกิจกรรมนักศึกษาอยู่ ผมเลยได้มือดีมาทำงานนี้ร่วมกันมากมาย โดยเฉพาะคุณชล สุดยอดนักกิจกรรม เจ้าของBlogที่มีLinkอยู่ข้างๆเนี่ยครับ

ถือเป็นการรวมตัวสร้างกิจกรรมใหม่ครั้งสำคัญของคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์เลยก็ว่าได้
ทั้งนักศึกษาภาคภาษาไทย และภาษาอังกฤษ อาจารย์ฝ่ายการนักศึกษา และสมาคมเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ที่เป็นผู้ให้เงินสนับสนุน

ไหนๆก็เล่ามาแล้ว เพื่อเป็นการรับผิดชอบกับที่หายไปนาน ผมเลยมีงานเขียนที่เพิ่งร่างเสร็จมาให้อ่านกัน

เป็นเหมือนคำนำของค่ายนี้ครับ

ลองอ่านดูนะครับ ผมพยายามจะเขียนให้ซึ้งๆ แต่ไม่รู้จะเลี่ยนไปรึเปล่า และก็ยังไม่ได้เกลาเลยครับ

สายใยแห่งเจตนารมณ์…ป๋วย อึ๊งภากรณ์

คุณเชื่อเหมือนผมไหม ? ว่าชะตาชีวิตของคนเรา...มักจะมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่
....................................

เช้าวันหนึ่งที่ประเทศอังกฤษ เมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว ผมได้รู้จักชายที่ชื่อ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ผมเรียกเขาว่า “อาจารย์ป๋วย” ในเวลาต่อมา เป็นครั้งแรก

การได้รู้จักท่านในครั้งนั้น...ผมไม่ได้พบกับตัวจริงของท่าน แต่ผมแค่ได้รู้จักท่านผ่านตัวหนังสือ

ขณะที่ผมกำลังหนีจากการเข้าเรียนในโรงเรียนที่ผมมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน โดยการอ้างว่าป่วย เพื่อจะได้นอนพักอยู่ต่อไปในหอพัก ผมได้หยิบหนังสือชีวประวัติเล่มโตของนักวิชาการสำคัญคนหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ผมเคารพรักออกมาอ่าน

และผมก็ได้ทราบว่า อาจารย์ของผมท่านนั้น ชื่นชมอาจารย์ป๋วยเป็นอย่างยิ่ง โดยการเขียนถึงความดีของอาจารย์ป๋วย อยู่ในหนังสือของเขาหลายตอน

การได้อ่านถึงเรื่องของชายที่ชื่อ ป๋วย อึ้งภากรณ์ ผ่านหนังสือชีวประวัติของอาจารย์ท่านนั้น กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผมขึ้นมาพอสมควร

.....ผมอยากรู้ว่า ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นใคร ทำไมถึงได้รับการยกย่องเหลือเกินจากอาจารย์ของผม
.....ผมอยากรู้ว่า ทำไม ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ถึงได้รับการชื่นชมว่าเป็นคนดีที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ประเทศไทยเคยมี

แต่ก็คงเหมือนกับใครหลายคน ความอยากรู้อยากเห็นของผมในวันนั้น จบลงเพียงความทรงจำเพียงว่า ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นคนดีมากๆคนหนึ่ง .....เท่านั้น

............................................

เมื่อผมกลับมาจากการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ผมต้องทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของชีวิต
….ผมต้องเลือกทางเดินให้กับอนาคตของผม

ความที่ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงหลังจากการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจมานาน การได้เห็นความทุกข์ยากของผู้คนที่เกิดจากความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ กระตุ้นให้ผมสนใจเลือกทางเดินในการเป็น “หมอรักษาโรคเศรษฐกิจ” ให้กับสังคม
ผมเริ่มมองถึงความเป็นไปได้ในการเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในสาขาเศรษฐศาสตร์

และในช่วงเวลานั้นเอง ผมก็บังเอิญได้พบกับชายที่ชื่อ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อีกครั้ง

วันหนึ่ง ด้วยแรงดลใจอะไรบางอย่าง ผมได้ค้นชั้นหนังสือเก่าที่บ้านเพื่อหาหนังสือออกมาอ่านเล่น
.....และผมก็ได้พบว่า พ่อของผมเคยสะสมหนังสือเล่มเล็กๆหลายเล่มที่เป็นหนังสือชีวประวัติของอาจารย์ป๋วย

ความทรงจำของผมกระตุ้นให้ผมหยิบหนังสือเล่นเล็กๆเหล่านั้น ออกมาอ่านทีละเล่มๆ

ผมยังจำได้ดีถึงความชื่นชมที่เกิดขึ้นในใจของผม เมื่อได้ทราบถึงเรื่องราวของอาจารย์ป๋วยโดยละเอียด

.....การได้อ่านหนังสือชีวประวัติของอาจารย์ป๋วยเหล่านั้น ทำให้ผมรู้สึกถึงคุณค่าของชีวิตคนๆหนึ่ง ว่ามีมากเหลือเกิน หากว่าคนๆนั้นเลือกดำเนินชีวิตในทางที่เปี่ยมไปด้วยการให้และเสียสละ

ด้วยความสามารถและชื่อเสียงเกียรติยศทีมากมาย อาจารย์ป๋วยยังเลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่าย และที่สำคัญคือคงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริตตลอดชีวิตการทำงาน

การได้พบกับอาจารย์ป๋วย อีกครั้งหนึ่งในวันนั้น ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงคุณค่าแห่งวิถีการเป็น “นักเศรษฐศาสตร์ที่ดี” และช่วยให้ผมตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ ว่าผมอยากจะเรียนเศรษฐศาสตร์

และหลังจากวันนั้นไม่นาน ผมก็ได้เข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักที่อาจารย์ป๋วยเป็นผู้วางรากฐานไว้
“เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์”

……………………………………….

ช่วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตผมพลิกผันเป็นอย่างยิ่ง
….ไม่ใช่ว่าผมพบเจอกับเรื่องเลวร้ายอะไร แต่ผมได้พบเจอกับเรื่องดีๆมากมายอย่างไม่น่าเชื่อต่างหาก

และหนึ่งในเรื่องดีๆที่ผมได้รับในมหาวิทยาลัยนั้น เป็นความห่วงใยอย่างใกล้ชิดจากอาจารย์ท่านหนึ่ง

ในขณะที่ผมเองกำลังสับสนไปกับความเปลี่ยนของชีวิต จากเด็กที่ไม่มีความสามารถอะไรโดดเด่น กลายเป็นนักเรียนที่เรียนดีและได้รับความสนใจจากรอบข้าง

….คงเหมือนกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่เป้าหมายชีวิตที่เคยวางไว้ มันก็เลือนหายไปกับสภาพแวดล้อมบ้าง และแม้ว่ามันจะยังอยู่ แต่ผมก็ยังคิดไม่ออกว่าความฝันกับความจริงมันจะไปด้วยกันได้อย่างไร

เป็นความโชคดีที่ผมได้รู้จักกับอาจารย์ท่านหนึ่งโดยบังเอิญ

และก็บังเอิญที่อาจารย์ท่านนั้นได้กลายเป็นอาจารย์ที่สนิทชิดเชื้อกับผมอย่างมากในเวลาต่อมา

เขาเป็นคนที่แนะนำให้ผมรู้จักกับคนหลายๆคนรวมถึงตัวเขาเอง ที่ยืนหยัดทำในสิ่งที่เขาเชื่อมั่นว่ามีคุณค่า แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เขามีชื่อเสียงหรือเงินทองมากมายก็ตาม

……และเขาก็เป็นคนที่คอยเตือนให้ผมระลึกถึงเป้าหมายที่ตัวเองเคยวางไว้ ไม่ให้มันจางหายไปกับสภาพแวดล้อม และช่วยให้ผมเกิดพัฒนาการทางความคิดในด้านต่างๆมากมาย ที่ผมเองคงไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง

หากขาดการชี้แนะจากเขาไป ผมก็คงไม่ได้มีหนทางเฉกเช่นในปัจจุบัน

เมื่อถึงเวลาที่ผมกำลังจะจบการศึกษา....เขาก็เป็นคนที่ผลักดันให้ผมคว้าโอกาสที่สำคัญอย่างยิ่งของชีวิตไว้

ผมเคยรู้สึกแปลกใจ เมื่อคิดไปว่าทำไมอาจารย์ท่านนั้นถึงได้ให้สิ่งดีๆมากมายกับผม

เมื่อได้รู้คำตอบถึงเหตุผล ผมเองก็ยังไม่อยากเชื่อเหมือนกัน

ที่อาจารย์ท่านนั้นให้สิ่งที่ดีๆกับผม ก็เพราะเคยมีอาจารย์ของเขาท่านหนึ่งให้สิ่งดีๆแบบเดียวกันกับเขา
และที่อาจารย์ของเขาให้สิ่งดีๆกับเขา ก็เพราะเคยได้รับความปรารถนาดีแบบเดียวกันจากอาจารย์ท่านหนึ่งและอยากจะสืบสานความปรารถนาดีเหล่านั้นให้กับคนรุ่นต่อไปเพื่อเป็นการตอบแทน

และอาจารย์คนที่เริ่มสายสัมพันธ์แห่งความปรารถนาดีท่านนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น
...เขามีชื่อว่า ”ป๋วย อึ๊งภากรณ์”

………………………………

ในวันที่ผมได้รับฟังเรื่องโครงการนำนักศึกษาไปเรียนรู้เรื่องอาจารย์ป๋วยเป็นครั้งแรก
ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ผมปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องทำ

.....ด้วยความโชคดีต่างๆที่ผมเคยได้รับจากคนที่ไม่เคยได้พบเจอตัวจริงอย่างอาจารย์ป๋วย ทำให้ผมรู้สึกว่าผมคงเห็นแก่ตัวเกินไปหากจะเก็บความโชคดีเหล่านั้นไว้เพียงคนเดียว

และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้น ของความพยายามทุ่มเทให้เกิด ”ค่ายตามรอยอาจารย์ป๋วย” ของผม

ผมอยากให้ทุกคนที่ได้เข้ามาสู่คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ได้ทำความรู้จักกับอาจารย์ป๋วย และได้ข้อคิดต่างๆติดตัวไปในการดำเนินชีวิตในอนาคต

ผมอยากให้ทุกคนที่ได้เข้าร่วม “ค่ายตามรอยอาจารย์ป๋วย” ได้รับรู้ และเป็นส่วนหนึ่งของ “สายใยแห่งเจตนารมณ์” ที่อาจารย์ป๋วยมีให้กับสังคมไทยและลูกศิษย์ของท่านทุกคน

.....คงไม่มีใครที่จะเหมาะสมในการทำสิ่งเหล่านี้ไปกว่าเหล่าศิษย์ของท่าน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นศิษย์โดยตรงก็ตาม

ผมเชื่อว่าการที่ผมได้เข้ามาอยู่ที่นี่ และมุ่งมั่นทำสิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้ มันเป็นความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้สิ่งต่างๆที่เคยได้พบเจอ ที่ผมเรียกมันว่า “ชะตาชีวิต”

และผมก็เชื่ออีกเช่นกัน ว่าการที่ทุกท่านได้มาร่วมกันในที่นี้ มันมีส่วนมาจาก ”ชะตาชีวิต” ของพวกท่าน

หวังว่าการได้เข้าร่วม “ค่ายตามรอยอาจารย์ป๋วย” ครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นความรู้สึกอะไรบางอย่างจากใจของท่านได้

ขอเพียงแค่ให้วันหนึ่ง ก่อนที่ท่านจะทำอะไร ให้รู้สึกว่าท่านก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ป๋วยเช่นกัน และศิษย์ของอาจารย์ป๋วยก็ควรจะสืบสานเจตนารมณ์ของท่าน ทั้งด้วยการกระทำของตัวเอง และด้วยการให้ความปรารถนาดีกับคนอื่นๆต่อไป

ให้ชะตาชีวิตที่นำพาท่านมาสู่ที่แห่งนี้ ที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ นั้นมีความหมายที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า

……………………………………

คุณเชื่อเหมือนผมหรือยัง ? ว่าชะตาชีวิตของคุณเอง...ก็มีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่

14 comments:

Anonymous said...

ไปกันเมื่อไร ผมขอไปด้วยสิ

มีอะไรพอจะช่วยได้ไหม

ผมจะกลับบ้านวันที่เจ็ดนี้แ้ล้ว

David Ginola said...

ขอบคุณพี่กระต่ายที่วันก่อนช่วยให้คำแนะนำนะครับ แล้วก็ขอโทษอย่างยิ่งที่วันก่อนไม่ได้ไป survey ด้วยทั้งที่รับปากไปแล้ว

ไว้เดี๋ยววันศุกร์จะไปฟัง อ.รังสรรค์พูดถึง อ.ป๋วยที่คณะนะครับ บล็อกเกอร์ท่านใดสนใจไปเจอกันได้ตอนสี่โมงเย็นนะครับ

Dawdle Man said...

สวัสดีครับคุณกระต่ายน้อย

ผมดีใจ ที่คุณริเริ่มโครงการดีๆ อย่างนี้ขึ้นมา ขอให้ประสบผลสำเร็จอย่างที่คุณหวังครับ :)

Anonymous said...

ค่ายอ.ป๋วย ไปวันที่ 8-10 ก.ค. ครับ

ถ้าคุณท่อกอยากไปก็ได้นะครับ แต่กลัวจะเจื่อนหน่อย เพราะมีแต่คนในคณะ คุณท่อกออาจจะต้องไปกับผมตั้งแต่เช้าวันที่ 8 แต่ต้องไปทำงานครับ ไปเตรียมสถานที่ต่างๆในชัยนาทให้พร้อม

ตอนนี้ค่ายมีปัญหาเล็กน้อย เป็นปัญหาที่ไม่ได้คาดไว้เท่าไหร่

เด็กปี 1 ที่เป็นเป้าหมายหลักไม่ค่อยไปกันครับ บอกว่าดูไม่น่าสนุก

ผมล่ะ เซ็งเลย

ตอนนี้เลยเปิดให้ปีไหนไปก็ได้

หวังว่าคงไม่ต้องเปิดถึงขั้นให้คณะไหนไปก็ได้ถึงจะมีคนไปนะครับ

Dawdle Man said...

ผมอยากไปมาครับคุณกระต่ายน้อย อยากทราบว่า คนที่จบไปแล้วนี่จะร่วมแจมได้ไหมครับ?

kickoman said...

ขอแจมด้วยได้ไหมครับเนี่ย....

ผมก็ปี 1 =)

Anonymous said...

ผ่านไปแล้วซิครับ บรรยากาศ เป็นไงบ้างครับ ถ้าจะกรุณาเล่าให้ฟัง พร้อมลงภาพงาม ๆ ด้วยก็จะเป็นพระคุณยิ่งขอรับ

Anonymous said...

เป็นโครงการที่ดีมากเลยค่ะ ^_^

กลับมาเล่าบรรยากาศให้ฟังหน่อยซิคะว่าเป็นอย่างไรบ้าง

Anonymous said...

ไม่รู้ใช่กระต่ายเดียวกับที่ไปช่วยถกเรื่อง "โจโฉ" หรือเปล่านะ

แต่ผมอยากจะแสดงความขอบคุณไว้ ณ ที่นี้

ไม่ใช่เพราะการเห็นด้วยกับผม

แต่ขอบคุณที่เข้าใจ ในสิ่งที่ผมอยากเตือนสติ
เจตนาของผมที่ต้องการหยุดความเกลียดชังที่ไร้ขีดจำกัด
จนก้าวล้ำขอบเขตที่ผู้มีหริโอตัปปะพึงกระทำ

การทำลายล้างแบบไม่เลือกวิธีการ

ผมไม่รู้จะสื่อสารกับคุณได้อย่างไร เลยโพสต์ไว้ที่นี่ เผื่อคุณได้อ่านครับ

ratioscripta said...

นิ่งสนิท ศิษย์สงัด

Anonymous said...

ถึงจะรู้สึก*เจ๋อ*เล็กน้อยที่ไปค่ายของเศรษฐ แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่คุณค่ามาก เพราะปาลืมรู้สึกว่า*ได้*หลายๆอย่างจากค่ายนี้ มันเป็นค่ายที่ดีมากๆ จนปาล์มอยากจะเอากลับมาทำที่คณะตัวเองเลยค่ะ

....

แต่ปรากดว่าไอเดียไม่ผ่าน -_-''

Anonymous said...

เสียดายที่เพิ่งมาอ่านบทความนี้ ค่ายน่าไปมาก ดีใจนะคะ ที่มีคนตั้งใจทำค่ายนี้ขึ้นมา ถึงว่าเด็กปีหนึ่งจะไปกันน้อย แต่อย่าท้อนะคะ
ทุกวันนี้ พยายามที่จะทำทุกอย่างให้ดี อย่างน้อยให้ได้สักเสี้ยวหนึ่งของอาจารย์ป๋วย
เด็กเก่า มธ

Anonymous said...

หนูก็เป็นคนนึงที่ได้อ่านเรื่องราวของอาจารย์ป๋วย รู้สึกชื่นชมในความสามารถและความดีของท่าน
อิจฉาพี่จัง มีคนดีๆช่วยเหลือ

ปีนี้ก้อเป็นปีที่หนูจะต้องต่อสู้เข้ารั้วมหาลัยแล้วด้วย

อยากเข้าเศรษฐศาสตร์ มธ. จัง

Anonymous said...

คำนำซึ้งมากมากค่ะ น่าเสียดายที่ทักษิณไม่เคยเป็นลูกศิษย์ อ.ป๋วย ไม่งั้นเค้าคงไม่มาเป็นคนทำลายชาติไทยอย่างไนปัจจุบันนี้