Wednesday, December 07, 2005

โลกในอุดมคติ

บทความต่อไปนี้ เป็นบทความที่เขียนเชิงระบายความอัดอั้นบางอย่าง อาจจะมีหลายส่วนที่เป็นการมองโลกในแง่ร้าย ขอโปรดเข้าใจด้วยว่าคนเขียนอยากแจกจ่ายความอึกอัดออกจากใจ

โลกแห่งความจริง ฉันเป็นเหมือนคนตาบอด

โลกแห่งความฝันฉันมองเห็นมันสดใส

แต่ในวันนี้โลกแห่งความฝันทอดทิ้งฉันไปไหน...โลกไม่สดใสเหมือนวันก่อน


..............................

ผมคิดว่าบนโลกใบนี้ มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง

คนประเภทดังกล่าว....จะมีโลกใบหนึ่งอยู่ในความคิด

เป็นโลกแบบที่คนๆนั้นคิดฝันอยากให้มันเป็นจริง

ผมขอเรียกโลกแบบดังกล่าวว่า "โลกในอุดมคติ"

...โลกในอุดมคติ มีสังคมแบบที่คนๆนั้นคิดว่าดีงาม

...มีสิ่งที่คนๆนั้นเฝ้าฝันอยากให้เกิด เกิดขึ้นจริง

...........................

ผมคิดว่าผมก็เป็นคนหนึ่งที่มี "โลกในอุดมคติ" ของตัวเองอยู่เหมือนกัน

ตั้งแต่เด็ก ผมมักจะนั่งเหม่ออยู่ในความคิดอะไรบางอย่าง

บางครั้งก็เหมือนลอยไปอยู่บนโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งมีอยู่แต่ในจินตนาการ

นั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมไม่ชอบอยู่ในห้องที่ไม่มีหน้าต่าง เพราะมันทำให้ผมเหม่อได้ยาก

พอถึงวันหนึ่งที่ผมต้องเลือกทางเดินให้กับชีวิต

ผมก็เฝ้าคิดถามกับตัวเองว่า..ชีวิตในอุดมคติของผมมันจะเป็นเช่นไร???

คงเป็นโชคดีที่ผมได้รับรู้เรื่องต่างๆที่มีส่วนผลักดันชีวิตผมตอนนี้ ในวันที่ผมควรจะได้รู้มันที่สุด...

....ผมเลือกเดินตามทางของคนที่คิดว่า สังคมที่ดี มันจะเกิดขึ้นได้ถ้าผมเป็นส่วนหนึ่งที่พยายามให้มันเกิดขึ้น

...........................

เวลาผ่านไปจากวันที่ผมเลือกทางเดิน จนมาถึงวันที่ผมก้าวเข้าสู่ทางเดินนั้นๆอย่างเต็มตัวแล้ว

ผมกลายเป็นคนที่ "มีโลกในอุดมคติ" และพยายามให้ได้มาซึ่ง "ความจริงที่เป็นดั่งอุดมคติ" อยู่เสมอ

แม้นั่นอาจจะหมายถึงการต้องขัดแย้งกับคนที่ผมมองว่า "ไม่พยายามให้โลกมันดีขึ้น" บ้างในบางครั้ง

แต่มาถึงตอนนี้ ผมกลับครุ่นคิดถึงโลกในอุดมคติที่ผมเคยมี

ไม่ใช่เพราะผมลังเลที่จะเดินตามทางที่ผมวางไว้

แต่ผมกลับตั้งคำถามกับ "โลกในอุดมคติ" ของผม

...ผมเคยคิดว่า การฝ่าฟันให้ได้มาซึ่งโลกในอุดมคติ มันช่างน่านับถือดีแท้

มาวันนี้ ผมคิดว่ามันอาจเป็นการกระทำที่โดดเดี่ยวและสิ้นหวังก็ได้

........................

วันที่ผมเลือกเป็นอาจารย์ ผมมองอาชีพดังกล่าว เป็นอาชีพหนึ่งซึ่งมีคุณค่าเหลือเกิน

คุณค่าของการเป็นอาจารย์อยู่ที่การได้สร้างคน

น่าแปลก...ผมคงเป็นคนตกยุคกระมั้ง ที่คิดเอาแบบนี้

เพราะสำหรับหลายๆคนในรุ่นผม การเป็นอาจารย์ เหมือนการพาตนเองเข้าสู่วังวนแห่งความด้อย

ผมเคยตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์จากเพื่อนคนหนึ่งในเวลากลางคืน

เพื่อที่จะได้ยินคำถามที่ผมตอบไม่ได้ และไม่รู้จะตอบยังไง

"นายเป็นอาจารย์เหรอ เป็นทำไมวะ อาชีพกระจอก!!!"

...........................

และอีกสิ่งที่ผมคิดว่าผมมองพลาดไปก็คือ

ผมเคยคิดว่าอาชีพอาจารย์จะเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับนับถือ

แม้จะไม่ใช่จากสังคมรอบข้าง อย่างน้อยก็จากลูกศิษย์ที่ผมทำการสอน

ผมคงไม่ขออะไรมาก ขอแค่อย่างน้อยเขารู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มันดีกับตัวเขาก็พอแล้ว

ความคิดแบบดังกล่าวผลักดันให้ผมไปทำงานอยู่ได้ทุกวันอย่างมีพลัง

ผมอาจจะคิดผิดไปอีกอย่าง...

เพราะกับนักศึกษาหลายๆคนที่ผมได้เจอ

ทัศนคติของเขาต่อคนเป็นอาจารย์มันเปลี่ยนไป

หลายๆคนมองว่าอาจารย์เป็นอาชีพบริการอย่างหนึ่ง...เขาจ่าย...เราสอน

ถ้าเราบริการเขาไม่เป็นที่น่าพอใจ เขาก็มีสิทธิเต็มที่ที่จะทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการในร้านค้า(ห้องเรียน)

มันจะไปว่าเขาก็ไม่ถูกนัก

กับระบบการศึกษาที่เด็กนักเรียนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ใช้วิธี "ใช้เงินซื้อบริการ(ทางการศึกษา)ที่ดีกว่า" เพื่อตีตั๋วเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย

ซึ่งก็หมายถึง หาที่เรียนพิเศษดีๆ เพื่อจะได้เอ็นทรานซ์ติด นั่นล่ะ

ก็คงยากที่จะให้เขามีทัศนคติดีงามต่ออาชีพอาจารย์อยู่เหมือนเดิมได้

ตำนานของอาจารย์ที่พลิกชีวิตเด็กคนหนึ่งจากก้อนกรวดให้กลายเป็นทองได้...มันยิ่งกลายเป็นเรื่องในนิยายขึ้นทุกวัน

เพราะวันนี้อาจารย์กลับไม่ได้คงคุณค่าเช่นนั้นอีกต่อไป

คุณค่าของอาจารย์คงเหลือเพียง "ผู้มีสิทธิในการให้คุณโทษทางการศึกษา" ผ่านการให้เกรด

และคุณค่าของการเป็นอาจารย์ในลักษณะ "ผู้ให้ความรู้" ก็กลายเป็นแค่เรื่องรองจากการให้เกรดเท่านั้น

....ผมเคยคิดว่าความเห็นของอาจารย์น่าจะมีความหมายต่อนักศึกษา

แต่กับการได้สัมผัสโลกแห่งความจริงในตอนนี้

บางครั้งผมรู้สึกว่า....ความเห็นของผม มันไม่มีคุณค่า เพราะคุณค่าของผม มันช่างน้อยนิดในสายตาของเขา

คนที่เขาอยากรับฟังความคิดเห็น กลับกลายเป็นคนที่พวกเขามองว่ามีคุณค่า คือคนที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ มีรายได้เยอะๆ มีรถหรูๆขับ มีเงินทองใช้เหลือเฟือ

.........................

ด้วยเหตุผลดังกล่าว

บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนกับ "โลกในอุดมคติ" ของผมมันชักเริ่มจะแห้งแล้งไปบ้างเสียแล้ว

สิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดว่ามีคุณค่า เพราะมันมีคุณค่าสำหรับคนอื่น มันอาจจะไม่ได้มีคุณค่าสำหรับเขาจริงๆก็ได้

อืม......................

ฟังดูแล้วเศร้าๆ แต่ก็เป็นแง่มุมมืดที่เริ่มผุดขึ้นมาในใจของผมในตอนนี้

แม้จะเป็นแค่ส่วนน้อย แต่มันก็ก่อตัวขึ้นจากที่ไม่เคยมีมาก่อน

ผมรู้สึกกลัวเหลือเกินว่า วันหนึ่งมันจะเข้าเกาะกินจิตใจผมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ถึงวันหนึ่งผมอาจจะกลายเป็นคนที่ผมเคยไม่ชอบก็ได้

ผมอาจจะกลายเป็นอาจารย์ที่เข้าไปสอนให้ผ่านไปวันๆหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าทำการสอนได้ดีหรือเปล่า

พอใกล้ๆสอบ ผมก็บอกแนวข้อสอบเด็กไป แล้วก็ออกข้อสอบให้มันใกล้เคียง

สุดท้ายก็ตัดเกรดง่ายๆ แจกเอเยอะๆ

ผมคงสามารถอยู่ต่อไปได้ในสภาพดังกล่าวจนเกษียณ

..........................

ผมเชื่อว่าคนบนโลกนี้หลายๆคน เป็นคนที่มี "โลกในอุดมคติ" เป็นของตัวเองเหมือนอย่างที่ผมมี

แต่สิ่งที่ผมเชื่ออีกอย่างหนึ่ง

แม้จะไม่ได้ใส่ใจกับมันมาก่อน แต่ก็เริ่มรู้สึกถึงมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในตอนนี้แล้ว

ก็คือ พวกคนที่ใช้ชีวิตเพื่อพยายามสร้างโลกในอุดมคติของตนเองให้เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้

"มักจะต้องพบกับความผิดหวังในบั้นปลาย"

แล้วคุณล่ะมี "โลกในอุดมคติ" ไหม?

23 comments:

Anonymous said...

อย่าท้อนะต่ายน้อย....

ต่ายน้อยสู้ๆ ต่ายน้อยสู้ต่าย ต่ายน้อยไว้ลาย ต่ายน้อยสู้ๆ วี๊ด.............บึ้ม

เราก็มีเพื่อนที่เป็นอาจารย์ แล้วเกิดอาการท้อแท้ต่อระบบห่วยแตก

คนบางคนคิดว่าเป็นอ.ธรรมดามันไม่เท่ ริอยากเป็นผู้บริหาร แต่ต้องมีตำแหน่งทางวิชาการอย่างต่ำ"ผศ." สมองมีน้อยทำงานวิจัยไม่เป็น เลยให้อ.ใหม่ทำให้ โดยใช้ชื่อตัวเองไปขอตำแหน่ง

ทำนายได้เลยมั๊ยว่า ไอ้คนๆนี้นะ มันได้เป็นผู้บริหารเมื่อไรน่ะ มันโกงกินแน่

หลังจากทนมา 2 ปี เพื่อนฉันเลยตัดสินใจลาออก แต่เพื่อนฉันก็ไม่ได้เลิกเป็นอาจารย์หรอกนะ แค่ถอยมาตั้งหลัก ด้วยการเรียนต่อเอกสั่งสมวิชาก่อน ก่อนที่จะไปสอนที่อื่นน่ะ แหะๆ ก็มันสุดทนจริงๆนี่นา...

ปล.ดีใจที่ได้อ่านงานของต่ายน้อยอีก

Anonymous said...

สู้ๆนะคุณกระต่ายน้อย ^^
คุณค่าที่แท้จริงอยู่ที่ใดไม่มีใครเข้าใจดีไปกว่าตัวคุณเอง

..บนทางเดินที่มีขวากหนาม..
ถ้าเธอพล้ำถอยไป ฉันคงเก้อ...

Anonymous said...

มาเยี่ยมเยือนเป็นครั้งแรก...อิอิ

คนที่มี"โลกในอุดมคติ"อย่างพวกเราจริงๆแล้วก็มีไม่น้อยทีเดียว แต่อาจปรากฏตัวตามที่ต่างๆ มีบทบาทหน้าที่ต่างๆกันไป

แต่หลายๆคนในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ก็เป็นคนเล็กๆแต่ใจใหญ่ที่ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
องค์ความรู้ และอารยธรรมที่เกิดขึ้นบนโลกเรา ก็เชื่อว่าต้องมาจากกลุ่มคนที่คิดถึง"โลกในอุดมคติ"

เราเชื่อว่า หลายครั้งเขาเหล่านั้นต้องต่อสู้ระหว่างความเป็นจริงกับสิ่งที่ควรจะเป็น และก็เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การต่อสู้ แม้อีกหลายคนอาจมองว่าไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปทำอย่างนั้น ทำให้ตัวเองสบาย มีความสุขไม่ดีกว่าเหรอ

มันก็เหมือนความดีที่ต้องมีบทพิสูจน์
อย่างโฟรโดและเพื่อนๆในlord of the ring
ก็ไม่ใช่เรื่องที่โฟรโดจะต้องเอาตัวเองไปทำในสิ่งที่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งยังต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต แต่เขาก็เลือกที่จะทำในเมื่อพวกเขารู้ว่าหากแหวนถูกทำลายแล้ว มิดเดิ้ลเอิร์ธจะเข้าสู่ความสงบสุขมากขึ้น มันก็ดีกว่าอยู่ในสภาพให้ฝ่ายมืดเข้าครอบครองแผ่นดินจนเกิดความระส่ำระสายไปทั่ว

คำพูดของคนอื่นๆที่ไม่คิดเหมือนอย่างเรา มันก็เหมือนเป็นบททดสอบความตั้งใจของตัวเรา มองในอีกแง่ เป็นการทดสอบโลกในอุดมคติของเรา และเป็นfeedbackอย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่าหากเราต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ให้เป็นสิ่งที่ควรจะเป็น ควรจะทำอย่างไร

ที่สำคัญ อย่างน้อยตอนนี้ เราก็รู้ว่าอะไรเป็นตัวที่อาจทำให้เราเปลี่ยนความคิดจาก "โลกในอุดมคติ" ไป เหมือนอย่างหลายๆคนที่เปลี่ยนความคิดไปเมื่อถูกสังคมบางส่วนกลืน

หากเราดำเนินชีวิตอย่างมีสติ และตรวจสอบความคิดของเราอยู่เสมอ เราก็จะไม่หลุดไปในทางที่เราไม่อยากให้เป็น

และไม่แน่นะ สักวัน "โลกในอุดมคติ" ของเราก็อาจเป็นจริงขึ้นมาได้ อาจเพียงบางส่วนก็ยังดี

สังคมมันเปลี่ยนไป คนบูชาวัตถุ และนับถือสิ่งที่ฉาบอยู่รอบตัวเรามากขึ้น(คุณค่าเทียม) แต่ลืมให้ความสำคัญกับคุณค่าแท้จริงของการกระทำ หรือผลของงานที่ทำให้เกิดประโยชน์จริงๆ

การได้เป็นอาจารย์ เป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้เรามีโอกาสที่จะทำอะไรดีๆให้กับคนอื่นเสมอ ไม่ใช่แค่การสอนหนังสือหรือให้ความรู้เท่านั้น แต่มันมีมากกว่านั้น

และเมื่อวันหนึ่งเรามองย้อนไป เราจะแอบยิ้มในใจกับสิ่งดีๆที่เราได้ทำให้คนอื่น และรู้สึกว่าชีวิตเราคุ้มค่าที่ได้เกิดมา มากกว่าเป็นแค่คนๆหนึ่งที่เพิ่มจำนวนประชากรให้โลกมนุษย์

Anonymous said...

ผมก็มี "โลกอุดมคติ" คล้าย ๆ กับที่คุณมี ผมก็เลยเลือกที่จะเป็นอาจารย์ เจอคำถามอย่างที่คุณเจอก็บ่อย เจอนักเรียนอย่างที่คุณเคยเจอบ้าง (เพราะยังเป็นมือใหม่หัดสอนหนังสืออยู่) ผมเข้าใจในความสงสัยและท้อแท้ของคุณครับ ผมเองก็เคยสงสัยตัวเองเหมือนกัน แต่ผมเลือกที่จะ defend "โลกอุดมคติ" ของผม ผมเชื่อว่าหน้าที่การเป็นอาจารย์คือการสร้างคน มันเป็นงานที่หนัก คนทำต้องมีใจรัก และผลสำเร็จมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวคนสอนแต่เพียงอย่างเดียว นักเรียนบางคนต้องการแค่เกรดดี ๆ กับใบปริญญาเท่านั้น ในขณะที่บางคนก็ต้องการความรู้ ถ้านักเรียนจะมองผมเป็นผู้ให้บริการทางการศึกษา และเขาเป็นผู้ซื้อบริการทางการศึกษา ก็แล้วแต่เขา แต่ถ้าเขามีมุมมองลักษณะนั้น เขาก็ควรจะมีความเป็น "มืออาชีพ" ด้วย เพราะการศึกษาเล่าเรียนก็มีกฎกติกามีมาตรฐานของมัน ก็เหมือนกับการสร้างตึก ถึงแม้ลูกค้าจะเรียกร้องด่าทออย่างไร วิศวกรก็ต้องคำนึงถึงมาตรฐานเกณฑ์ความปลอดภัยที่ลดหย่อนไม่ได้ การเป็นอาจารย์ก็เหมือนกัน นักเรียนบอกว่าตัวเองเป็นผู้ซื้อ demand ในสิ่งต่าง ๆ มากมาย ซึ่งก็ทำได้แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบ

ผมไม่บังอาจจะบอกว่าตัวเองเป็นอาจารย์ที่ดี เพราะยังเป็นมือใหม่ ตัองเรียนรู้อะไรอีกมาก จากทั้งนักเรียนและเพื่อนอาจารย์ด้วยกัน แต่ ณ ตอนนี้ผมก็ยังจะ defend "โลกอุดมคติ" ของผมต่อไป เพราะผมเชื่อว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์กับสังคม แม้ว่าจะน้อยนิดก็ตาม

ประเทศไทยยังต้องการอาจารย์ที่มี "โลกอุดมคติ" อย่างคุณอีกมากนะครับ อย่าเพิ่งท้อไปซะก่อน "โลกอุดมคติ" นี่แหละที่จะเป็นแรงผลักดันให้สังคมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีแรงต้านแรงเฉื่อยมากก็ตาม

ratioscripta said...

เพียงแค่เราเชื่อมั่นว่ามันมีอยู่จริง

มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปว่ามันจะมีจริงหรือไม่

มั๊งง

Anonymous said...

อย่าท้อเลยค่ะ เป็นคนหนึ่งเหมือนกันที่เคยคิดว่าจบแล้วจะเป็นอาจารย์ดีไหม รู้สึกว่าเรามีความหวังและมีพลังอย่างเต็มเปี่ยมที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ แต่ถ้ามีนักเรียนคนหนึ่งๆ หรือหลายๆคนทำให้ท้อใจ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะต้องเสียใจแน่ๆเลย แต่คิดดูสิคะว่ามีคนที่ทำให้เราท้อใจได้เพราะเขาไม่เห็นคุณค่าของความตั้งใจของเรา แต่กับอีกคนหนึ่งสิ่งที่เราทำอาจเป็นสิ่งที่ดีมากๆกับเขาก็ได้นะคะ มองอีกมุมหนึ่งอาจคิดได้ว่ามันไม่ได้อยู่ที่ว่าโลกแห่งความจริงมันเป็นอย่างไรแต่อยู่ที่ว่าเราสามารถทำอะไรให้เป็นจริงได้บ้างเท่าที่เราทำได้แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำ..ดี..ต่อไป

Anonymous said...

เมื่อก่อนตอนเรายังเด็ก เคยฝันอยากเป็นซุปเปอร์แมน อยากเป็นแบบในการ์ตูน แบบนี้ถือว่าเป็นโลกในอุดมคติได้รึป่าวคับ
หากใช่พอเราโตขึ้น มันก็เปลี่ยนไป ความฝันวัยเด็กดูเหมือนจะจางหายไป แต่เราก็จะมีฝันใหม่ต่อไป
แต่บางฝันก็ดูเหมือนจะชัดเจน พอเราดำเนินไปตามฝันกลับดูเหมือนว่ามันจะมีอุปสรรค ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็น แต่สำหรับผมสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ความฝันนั้นหายไป ตราบใดที่ฝันเราไม่ทำร้ายใคร ไม่มีผลเสียสำหรับใครๆ มันก็ไม่เห็นผิด
บางครั้งการสั่งสอน การแนะนำสิ่งที่ดีให้กับคนอื่น แต่บางครั้งเค้าไม่ใส่ใจ แต่ผมเชื่อว่าวันไหนเมื่อเค้ามีปัญหา หรือดูเหมือนจะหมดหนทาง ผมอยากให้คำที่เราพูด ช่วยเหลือเค้าไปนั้น เป็นคำแรกที่เค้าจะคิดถึง
ไก่ได้พลอย ถึงดูไม่มีประโยชน์ แต่พลอยก็คือพลอย มันมีคุณค่าเสมอ รอวันที่คนที่เห็นค่าจะเอามันไปใช้ให้เกิดคุณประโยชน์ทั้งต่อใครๆ และตัวเค้าเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะไม่สูญเสียไปคือคุณค่าของตัวเราเอง และคุณค่าสิ่งที่เราทำ แม้จะไม่มีมูลค่าทางตัวเงิน ตัวเลข(GDP GNP ที่ใครก็ชอบใช้ อันนี้ล้อเล่นนะครับ)
แต่สิ่งที่ไม่อยากให้ทุกคนเสียไปคือความฝัน ที่ให้ความหวัง หวังที่จะทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นบนโลกนี้ แล้วคุณค่านั้นจะเกิดขึ้น ภายในใจเรา นั้นแหล่ะ แสงสว่างที่นำทางเรามาจนถึงจุดนี้
Some people think that the physical things
Define what's within
I've been there before
But that life's a bore
So full of the superficial
HOPE IT MEANS SOMETHING TO YOU. MAY IT BE
=^-^=To the world you are the one
to one you are the world.*\(^0^)/*

Anonymous said...

บางครั้งการจะสร้างความแตกต่างมันต้องเจอกับความเคยชินของระบบ
ช่วงนี้เป็นช่วงวัดใจ ผ่านช่วงวัดใจไปได้เธอถึงจะสร้างความแตกต่างได้
ถ้าว่ายทวนนำไปถึงต้นน้ำ เธอก็จะวางไข่ได้นะ
อย่างน้อยก็ยังมีคนเห็นว่าเธอกำลังจะทำอะไรและให้กำลังใจกันอยู่นะ
เอาใจช่วย

lunar said...

กล้วยไม้ออกดอกช้า ฉันใด
การศึกษาเป็นไป เช่นนั้น
แต่ผลิดอกคราใด งามเด่น
งานปลูกฝังเสกปั้น เสร็จแล้วแสนงาม.

ถ้ามีนักเรียนแค่คนสองคนได้ประโยชน์จากที่เราสอน แค่นี้ก็พอแล้วล่ะค่ะ เราคงสอนให้ทุกคนพอใจไม่ได้ เพราะคนเราคาดหวังจากการเรียนต่างไป แต่ถ้ามีซักคนเอาสิ่งที่เราสอนไปสานต่อ ประโยชน์ก็ย่อมกระจายต่อไปอยู่ดีค่ะ

ทำให้ดีที่สุด ก็เหมือนกับตะโกนออกมาดังๆ แม้ว่าเราจะอยู่ก้นเหว มันก็ต้องมีคนได้ยินบ้างแหละน่า

sweetnefertari said...

กำลังใจเพีบยเลยนะต่ายน้อย...หายท้อแล้วนะ คนดี

Anonymous said...

ต่ายน้อยสู้ๆๆๆ
ต่ายน้อยซ่าๆๆๆ
ต่ายน้อยเป็นอะไรไปนะท้อแท้ได้ไงเนี่ย
ก็ได้ๆๆ ยอมให้ท้อนะ แต่ห้ามถอยเด็ดขาดเลยนะกระต่ายน้อยของเค้า

Anonymous said...

อย่าท้อนะคะ กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ค่ะ นักเรียนของต่ายน้อยเขาก็คงยังสนุกอยู่กับวัยของเขา แต่เมื่อเขาได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น เขาก็จะรู้เองนะคะ ก็คงเหมือนๆตอนที่เราเป็นเด็ก เราก็คงมีเฮี้ยวบ้าง
แต่เชื่อว่าคงมีนักเรียนบางคนที่เขาตั้งใจก็ได้ อย่าให้คนส่วนใหญ่มาทำลายความตั้งใจของเรานะคะ
.. สู้ต่อไป อย่าท้อนะ ทาเคชิ! เอ๊ย กระต่ายน้อย..

Anonymous said...

"ผมเคยคิดว่าอาชีพอาจารย์จะเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับนับถือ
แม้จะไม่ใช่จากสังคมรอบข้าง อย่างน้อยก็จากลูกศิษย์ที่ผมทำการสอน"

แต่อย่างน้อยอาจารย์ก็ยินดีในใจตัวเองอยู่ มิใช่เหรอครับ
self-motivate สำคัญที่สุดนะ
ผมก็อยากเป็นอาจารย์ แต่เพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้มีดีพอที่จะจรรโลงสถาบัน (จริงๆเค้าไม่เอา.. เกรดไม่ถึง)
เลยคิดว่าทำอย่างอื่น ที่จะดีหรือแย่ ก็ให้อยู่ที่ตัวเองก่อนดีกว่า..

คนจะได้โนเบลนี่ เค้าต้องอายุ 60-70 กันทั้งนั้นเลยนา คุณกระต่าย

เป็นกำลังใจให้นะครับ.. สู้เค้า กระต่ายน้อย

ป.ล. ชอบคำคุณ Tony Almeida จัง "Defend โลกอุดมคติของตัวเอง"

Anonymous said...

มีคนบอกว่ากระต่ายน้อยกำลังท้อ
อ่านแล้วรู้สึกว่าครูอย่างนี้ซิ ใช่เลยหล่ะ
อยากให้กระต่ายน้อยสู้ต่อไป
บางครั้งคนเราก็มีท้อบ้างเรายังท้อเลย
ท้อจนอยากจะหายตัวไปจากโลก
แต่มันทำไม่ได้ เราต้องก้าวต่อ
เราก็มีโลกในอุดมคตินะ คิดว่าสักวันคงเจอ
ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกนานไหม
แต่เรารู้ว่าอาจจะไม่เจอก็ได้
แต่เราก็จะก้าวต่อไป
มาพยายามด้วยกันนะ
กระต่ายน้อยสู้ สู้

Anonymous said...

อย่าท้อแท้....สู้ๆ สู้ตาย
เป็นอาจารย์ น่านับถืออกค่ะ
คนเรามีคราวท้อแท้ได้
ช่วงนี้อาจกลุ้มใจ คิดหนัก สับสน
แต่พอเวลาผ่านไป เราก็จะคิดได้
แล้วก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันค่ะ
ท้อ...แต่อย่าถอยนะคะ

ป.ล โลกในอุดมคติ
เคยมีเหมือนกันค่ะ ฝันมาตลอด 3 ปี แต่พออีกคืบเดียวจะก้าวสู้โลกที่ฝันมานานนั้นเริ่มรู้สึกว่า แบบนี้หรอที่เราฝันมานาน ใช่แบบที่เราคิด ตรงกับตัวเราจริงๆหรอ คิดไปคิดมา ถ้าเราก้าวไปในนั้น อึดอัดแน่ๆ เพราะมันไม่ใช่ตัวเราสักนิด คงทนอยุ่ไม่ได้ เปลี่ยนใจ หันหลังให้มันทันที จนเดี๋ยวนี้ ก็รู้สึกดี ที่ได้ตัดสินใจแบบนี้ รู้สึกว่า เลือกไม่ผิด คนเราต้องรู้จักตัวเองก่อนค่ะ

The Corgiman said...

อะไรกัน แค่นี้ท้อแล้ว


โลกในอุดมคติ หรอ ชื่อมันก้อบอกแล้วว่าไม่มี

อยากได้ก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง

ถ้าอ่อนแออย่างนี้จะสร้างโลกในอุดมคติได้ยังไงล่ะน้อง

pickmegadance said...

มีโลกในอุดมคติเหมือนกันนะ
แต่ไม่บอกละกัน เพราะขี้เกียจพิมพ์

ที่คณะ มีคนชื่นชมกระต่ายน้อยตั้งหลายคนแน่ะ ทั้งรุ่นน้องหรือรุ่นเดียวกัน

Anonymous said...

อาชีพอาจารย์ก็คือการให้อย่างหนึ่ง เป็นอาชีพที่เป็นอะไรมากกว่าการทำงานแลกเงิน

การให้ แม้ผู้รับจะไม่ได้รับรู้ แต่ผู้ให้ก็ได้ให้สิ่งนั้นออกไป อาจจะมีผู้รับบางคนได้รับ แต่ผู้ให้ไม่ได้รับทราบก็ได้ หรือวันนี้สิ่งนั้นมันอาจจะยังไม่ถึงผู้รับ แต่สักวันมันอาจจะถึงและเป็นประโยชน์แก่เขาเองและผู้อื่นต่อไป

ครู... ให้อะไรมากกว่าวิชา เพราะมีความปรารถนาดีแฝงไปด้วย

เคยประทับใจคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ของอ.บางท่าน จนเก็บมาคิดและทำตามอยู่จนทุกวันนี้

สู้ต่อไปนะคะ
มาเยี่ยมอีกครั้ง

Anonymous said...

โชเซ่ มูรินโญ่ มี "ความฝัน" ตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบว่าเขาจะเป็นโค้ชฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกให้ได้ (เขาเคยทำหน้าที่แมวมองให้พ่อของเขาแลกกับค่าขนม)...

บิล คลินตัน ก็มี "ความฝัน" สมัยวัยรุ่นว่าเขาจะต้องเป็นประธานาธิบดีสหรัฐให้ได้...

ฯลฯ

"โลกในอุดมคติ" อาจไม่มีทางเกิดขึ้นจริง เพราะไม่ว่าว่าโลกจะ "ดี" ขึ้นเพียงไร มันก็ไม่มีทางที่จะ "สมบูรณ์พร้อม" ได้ แต่ "โลกที่ดีกว่าปัจจุบัน" นั้นเป็นไปได้แน่นอนครับ

ขอเพียงมุ่งมั่นตั้งใจอย่าท้อ ผมเชื่อว่า "ความฝัน" ของพี่ต่ายน้อยที่จะทำโลกให้ "ดีกว่าที่มันเป็นอยู่" จะเป็นความจริงได้อย่างแน่นอน

Anonymous said...

โลกในอุดมคติ นับวันจะค่อยๆเลือนหายไปทุกที เราต้องอยู่กับโลกแห่งความจริง ผู้คนที่เจอก็เป็นคนจริงๆ ที่มีอารมณ์ความรู้สึกจริงๆเหมือนเรา พยายามทำความเข้าใจคนอื่นๆให้มากพอๆกับที่อยากให้ใครๆเข้าใจคุณ ผู้ใหญ่ชอบบอกให้เราตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ อย่าเที่ยวให้มากนัก ฯลฯ ห้ามเราในสิ่งที่เคยทำกันมาแล้วทั้งนั้น...ในวัยเด็ก

ลองมองย้อนกลับไปในวันเวลาที่คุณยังเป็นนักศึกษา อาจพบบางสิ่งที่คล้ายกัน หรือ มีข้อแตกต่างเพียงน้อยนิด แต่หากชีวิตคุณต่างออกไปเพราะใจใฝ่ดีที่พาให้คุณห่างไกลจากความครื้นเครง สิ่งปรุงแต่ง ที่ล่อใจจนบางครั้งอาจเผลอลืมไปว่า ณ วันนี้เราอยู่ในหน้าที่ของนักศึกษา ก็ขอให้คุณเข้าใจถึงความแตกต่างของมนุษย์โลก

อย่าเพิ่งท้อ อาจารย์เป็นอาชีพที่มี..เกียรติ..แม้ไม่มีตัว เป็นรูปธรรม ยากที่จะสัมผัสถึง แต่คงอยู่เป็นส่วนหนึ่งในตัวตนของคุณ อย่าหวังให้ใครมานับถือ ถ้าคุณยังไม่นับถือตัวเอง นับถือในวิถีชีวิตที่คุณเลือกเดิน
เราก็ชอบอาชีพนี้นะ เคยอยากเป็นครูเหมือนกัน แต่หลายสิ่งที่ผ่านเข้าพามาไกลจาก..โลกในอุดมคติ..แต่ความจริงที่เป็นอยู่ ณ วันนี้ก็มีความสุขดี เพราะเรารู้ว่าชีวิตต้องการอะไร

ถ้าคุณภูมิใจที่ได้เป็นอาจารย์ มันก็ไม่ใช่อาชีพที่กระจอก

เราเป็นคนที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียน อ่านหนังสือสอบน้อยมาก แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องเรียน จนมาเรียนป.โท มธ.ปีแรกติดโปรฯ ช็อคซีเนม่า สุดๆ..เป็นประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ ที่มากกว่าการเรียน..เป็นการเรียนรู้ ที่เราไม่เคยเสียใจที่ต้องเจอ..เพราะทำให้เราเข้าใจว่าหน้าที่ต้องมาพร้อมความรับผิดชอบ..การปลูกต้นไม้ ใส่ใจต่างกัน ให้ดอกผลต่างกัน

การเป็นอาจารย์ไม่ใช่แค่ให้นักศึกษาได้เรียน เพราะการเรียนรู้สำคัญยิ่งกว่า อย่ากลัวหากต้องถูกตราหน้าว่าเป็น "จอมโหด" ทุกวันนี้เรายังรู้สึกขอบคุณอาจารย์จอมโหดอยู่เลย

ปล.แต่ก็อย่าโหดเกินไปนะ เราน่ะเกือบ80เต็ม100 แต่ยังได้B เจองี้บ่อยๆก็ไม่ไหวเหมือนกัน

สู้ๆครับ อาจารย์กระต่ายน้อย โลกเรายังต้องการคนอย่างคุณอีกเยอะ การได้ถ่ายทอดความรู้ ย่อมดีกว่าเก็บไว้แล้วปล่อยให้ตายไปพร้อมร่างไร้วิญญาณนะ

TeeDdy said...

หนูชักจะกลัวการเป็นครูแล้วสิคะ

TeeDdy said...
This comment has been removed by the author.
Anonymous said...

Awesome! Its in fact awesome paragraph, I have got much clear idea concerning from this paragraph.


My web-site ... registry cleaner Software