Tuesday, May 31, 2005

มหาลัยฯเหมืองแร่

จริงๆแล้วผมได้เขียนถึงหนังเรื่อง Hotel Rwanda ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

แต่ก็อย่างที่ทราบกันนะครับ...ว่ามันได้กลายเป็นวิญญาณแห่งโลกไซเบอร์สเปซไปแล้ว

และตัวผมเองก็ยังไม่ได้ทำพิธีฟื้นคืนชีพให้มันเสียที

จนมาถึงวันนี้ ผมได้ไปดูหนังดีเรื่องหนึ่งมา

ดีจนผมเองรู้สึกว่าจะไม่เขียนถึงไม่ได้

...ก็เลยขอเลื่อนพิธีปลุกวิญญาณ Hotel Rwanda ไปก่อน

ไว้ให้มันเฮี้ยนขึ้นมาหลอกหลอนผมอีกซักพักแล้วจะเขียนเน้อ

........................................



มหาลัยฯเหมืองแร่ เป็นเรื่องที่สร้างจากนิยายชีวิตของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ปีพ.ศ.2534

นิยายชีวิตเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายธรรมดา
...แต่เป็นนิยายที่ถ่ายทอดชีวิตจริงของคุณอาจินต์เอง

จากการที่ถูกรีไทรฺจากคณะวิศวะ สำนักสามย่าน ในตอนปีสอง
...จนระเห็จระเหินตัวเองไปเรียนรู้ชีวิตอยู่ที่เหมืองแร่เล็กๆในจังหวัดพังงา

ตลอดเวลาประมาณสองชั่วโมงที่ผมได้ดูหนังเรื่องนี้นั้น
บอกตรงๆเลยว่ารู้สึกอินมากๆ

คงเป็นเพราะผมเองก็เคยได้ไปอยู่ในเหมืองแร่ที่มีลักษณะคล้ายๆกันมาก่อน

อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมเองไม่ได้ถูกรีไทร์แล้วระเห็จไปทำงานแบบคุณอาจินต์

แต่ผมได้ไปเรียนรู้ชีวิตในชนบทในวิชาพัมนาชนบทไทยในช่วงที่ผมเป็นนักศึกษา
และหมู่บ้านที่ผมไปอยู่ก็ดันเป็นเหมืองเก่าในภาคใต้เหมือนกัน

ฉากหลายๆฉากในหนังที่ได้เห็นเลยละม้ายคล้ายคลึงกับภาพในอดีตที่ผมประสบมายังไงยังงั้น

........................................

เข้าเรื่องหนังดีกว่า

สิ่งที่ผมประทับใจกับหนังเรื่องนี้มากก็คือ...ความมีชีวิตของมัน

หนังหลายๆเรื่องคุณอาจจะดูแล้วสนุก ตื่นเต้น
แต่มันไม่มีความหมายแห่งชีวิตอยู่ในนั้น

แต่หนังเรื่องนี้เปี่ยมไปด้วยความหมายแห่งชีวิต

ความหมายที่หลายๆคนก็เคยได้มีผ่านมาบ้าง
แต่บางครั้งเราเองก็ไม่ได้ฉุกคิด หรือมัวแต่ยุ่งเกินไปที่จะมองมัน

มีหลายครั้งที่ผมคิดไปว่า หากผมไปไม่ได้ถึงความฝันที่ยิ่งใหญ่ ที่เต็มไปด้วยความชื่นชมจากคนรอบข้าง ตัวผมเองคงจะล้มเหลว (ผมขอเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา อย่าว่ากันเลย)

ผมลืมไปว่าสิ่งสำคัญยิ่งของชีวิตล้วนอยู่รอบกายเราอยู่แล้ว

ความนับถือที่มีให้กับผู้อื่น ความซื่อสัตย์ ความกล้า มิตรภาพ สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย

อาจินต์เองก็คงเช่นกัน

จากความลัมเหลวในรั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ

เขาออกเดินทางไปสูเหมืองแร่ด้วยสภาพของคนที่สิ้นหวัง คนที่รู้สึกว่าตัวเองได้สูญเสียความฝันอันยิ่งใหญ่ไปเสียแล้ว

แต่สิ่งที่เขาได้พบในเหมืองแร่นั้นกลับทำให้ชีวิตเขาเริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้ง
....มันดึงเอาความหมายแห่งชีวิตกลับมาให้เขา

ตัวหนังเองก็สื่อถึงแค่วัตรปฎิบัติของคนงานเหมืองแร่ธรรมดาๆกับเจ้านายของเขา

แต่สิ่งที่ได้พบในนั้นมันกลับทำให้ผู้ได้รับรู้มีความสุข

ผมชื่นชอบนายฝรั่งของเหมืองแร่มาก
...เพราะเขาทำให้ผมได้เห็นภาพของผู้นำที่เข้าอกเข้าใจลูกน้อง ผู้นำที่ใจกว้างและกล้าจะมีเมตตาอย่างไม่จำกัด และซื้อใจคนมากมายได้ด้วยสิ่งนั้น

ผมชอบพี่จอน นายหัวใหญ่ของเรื่อขุดแร่
...เพราะเขาสามารถดึงภาพของรุ่นพี่มาดนักเลง แต่เปี่ยมไปด้วยมิตรภาพและความจริงใจให้กับคนอื่นๆ คนอย่างเขาเป็นพวกที่เห็น ความดีในตัวของคนที่ตัวเองคิดว่าเป็นศัตรูได้ง่ายๆ

ผมชอบคุณลุงที่คอยคุยกับอาจินต์ทุกคืน โดยมีแกงจืดที่เย็นชืดเป็นกับข้าวให้เสมอ
...เพราะความมีนำใจของแก และแง่มุมชีวิตที่สุดแสนจะคมคายที่แกนำเสนอ

และผมก็ชื่นชมคุณอาจินต์ในเรื่องนี้เอง เพราะถ้าไม่ใช่มุมมองของแกแล้ว จะมีใครฉุกคิดและดึงเอาสิ่งเหล่านี้ออกมานำเสนอได้อีก

นอกจากนี้ ยังมีคนอีกมากมายในเรื่องนี้ที่ความเป็นตัวตนของเขาเองทำให้ผมชื่นชอบ และมีความสุขเวลาที่ได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของเขาเหล่านั้น

ชีวิตของคนงานเหมืองที่มองผ่านๆไปแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ กลับแฝงไว้ด้วยความหมายแห่งชีวิตที่มากมาย

ตัวผมเองคงต้องย้อนกลับมาดูตนเองบ้างเหมือนกันแล้วล่ะ

ชีวิตที่วุ่นวายจนไม่ค่อยจะมีเวลามามองหรือมาคิดเรื่องอะไรในมุมเล็กๆของชีวิต คงเป็นรูปแบบชีวิตที่คนในปัจจุบันคุ้นเคยกันดี
แต่เพราะเรามัวอยู่แต่กับความวุ่นวายหรือเปล่า เราเลยมองข้ามสิ่งสวยงามที่อยู่กับตัวเราเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

หากเราค้นพบสิ่งที่สวยงามนั้นแล้ว ชีวิตคงจะมีค่าและมีความหมายได้โดยไม่ต้องพึ่งเกียรติยศ ชื่อเสียง และเงินทอง

......................................

เป็นโอกาสดีจริงๆที่ได้ไปดูหนังแบบนี้ในช่วงที่ผมต้องเตรียมตัวนำเสนอตัวเองเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนเงินทองไปเรียนต่อ (ทุน)

ผมเองค่อนข้างยุ่งจนไม่มีเวลามาคิดหาคำนำเสนอตัวเองที่สวยหรูทั้งหลาย (และก็ขี้เกียจคิดพอควร อยากตอบอะไรที่เป็นตัวเองมากกว่า)

การได้รู้ว่าความสวยงามของชีวิตมันก็อยู่กับตัวเราเองอยูแล้วมันก็ทำให้สบายใจ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม ว่าถึงอย่างไรเราก็ยังเป็นเรา ชีวิตก็ยังมีความหมาย ความสวยงามก็ยังมีให้เรามองไปพบมันได้อยู่เสมอ

ต้องขอโทษเพื่อนๆที่อยู่ต่างแดนและคงไม่มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ด้วย ที่การเล่ามาครั้งนี่อาจทำให้ท่านเกิดกิเลสที่ไม่บรรลุ

ไว้ท่านกลับมาเมืองไทยกันแล้วก็อย่าลืมหามาดูกันให้ได้นะครับ

Thursday, May 26, 2005

เสียรู้ โง่สุดๆ

คุณเชื่อไหมว่าผมเพิ่งเขียนบทความที่ตั้งใจสุดๆ และยาวอย่างยิ่งเสร็จเรียบร้อย

และเสียมันไปในชั่วพริบตา

พริบตาเดียวที่ผมหารูปมาแปะบทความให้ครบถ้วนก่อนจะกด Publish

ผมเองซึ่งยัง Post รูปไม่เป็นต้องเสียรู้ครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อ blog มันขึ้นหน้าใหม่มาเปล่าๆ


ขอโทษ...ผมไม่ได้โง่อย่างที่คุณคิด เพราะผมกด copy บทความเผื่อไว้แล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้น

แต่ผมโง่กว่านั้น เมื่อพยายามทำการ post รูป โดยการกด copy อีกครั้งเพื่อนำโค๊ดข้อความที่จำเป็นในการ post รูปมาไว้ในหน้าใหม่

รู้ตัวก็เมื่อสาย จะลงรูปไปทำไม เพราะบทความนั้น ไม่มีวันเรียกกลับมาได้แล้ว



ขอไว้อาลัยให้บทความของผมที่ไม่มีใครรู้เสียแล้วว่ามันมีอยู่จริง

บทความที่ผมตั้งหน้าตั้งตาเขียนมาสามชั่วโมงเต็ม และตรวจทานเสร็จแล้ว


ช่วงนี้ผมงานยุ่งมากๆ บวกกับเครียดๆ อีกต่างหาก งานก็หลุดเบลอๆไปเยอะ
วันนี้กลับมาเขียนบล็อคเพื่อคลายเครียด แต่....เศร้า


ไว้จะมาเขียนบทความที่หายไปใหม่นะครับ บอกไว้ก่อนว่าผมเขียนถึงหนังเรื่อง Hotel Rwanda

Thursday, May 12, 2005

กระต่ายน้อยในดงเสือ

ต้องขอโทษทุกท่านด้วยที่ผมหายไปนาน

......ก็ตอนนี้มันยุ่งมันยุ่งจัง งานมันอีรุงตุงนัง เลยยังไม่มีเวลาไปหา
ก็อยากให้ร้องเพลงรอ ร๊อ รอ รอ ก่อนได้มั๊ย รับรองได้เลย
จะกลับไปชดไปเชย ที่หายไปนาน แต่ตอนนี้
.......อย่าไปรักใคร อย่าไปชอบใครอย่า เอาหัวใจไปให้คนอื่น
จากไปหลายวัน ห่างกันหลายคืน อยากให้ช่วยยืนยันว่าเธอนั้นยังมี กะใจ


กระผมขอเลียนแบบศิษย์พี่ ในการเอาเนื้อเพลงมาแสดงอารมณ์ที่คุกกรุ่นอยู่ภายใน...ยากจะเก็บไว้
เอาล่ะ ไหนๆก็พูดถึงเขาแล้วผมขอใช้เขาอ้างอิงเข้าเรื่องเลยดีกว่า

ท่ามกลางความแตกต่างกันหลายๆอย่าง ผมมีอะไรอย่างหนึ่งที่เหมือนกับคุณปิ่น

....ผมไม่ได้เชียร์ทีมที่สามของพรีเมียร์ลีก (ที่สามครับ ที่สาม ไม่ใช่ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแน่ๆ) ที่ก้าวผ่านยุคทองเข้าสู่ยุคตกต่ำ และกำลังจะโดนย้ำว่าเป็นรองทีมที่ดีกว่า(และอันดับเหนื่อกว่า) ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เหมือนเขา
....และผมไม่ใช่ดาราขวัญใจวัยรุ่นในอดีตเหมือนเขา(ฮ่าๆๆ)

แต่ที่เหมือนกันก็คือ ผมหลุดเข้ามาในดงเสือร้ายในช่วงที่ตัวเองยังเป็นเพียงเด็กกระเตาะกระแตะ
เสือร้ายที่ผมหมายถึงไม่ใช่เสือร้ายในความหมายแรกที่คุณคิดออก(และที่ผมก็คิดออกเช่นกัน)
แต่ผมกำลังหมายถึงเหล่านักวิชาการที่คณะของผม ผู้ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนเป็นนักคิดระดับต้นๆในสายวิชาที่ผมร่ำเรียนมาทั้งนั้น
พูดง่ายๆก็คือ ผมเข้ามาอยู่ในแวดวงอาจารย์มหาวิทยาลัยตั้งแต่จบปริญญาตรี

การโดนแวดล้อมด้วยนักวิชาการระดับหัวกะทิมากมาย ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนด้อยไปมาก
หลายๆครั้งเวลาที่เขาพูดอะไรที่เป็นวิชาการมากๆผมก็ฟังไม่รู้เรื่อง ได้แต่นั่งพยักหน้าเออออไปเรื่อยๆ
บางครั้งเวลาที่อาจารย์ท่านอื่นๆเขาพูดถึงนักวิชาการคนโน้นคนนี้ ทฤษฏีโน้นทฤษฎีนี้ ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นใคร ทำอะไร คิดอะไรวะ

คงเป็นเพราะการเรียนรู้ในระดับป.ตรี(ที่เมืองไทยนะครับ ประเทศอื่นไม่รู้เป็นไง)ยังไม่ได้เตรียมตัวให้คนมาเป็นนักวิชาการ
การจบตรีมันแค่ทำให้เราพอหาเลี้ยงชีพได้ ด้วยการใช้ใบปริญญาเป็นใบผ่านทางกับคนจ้างงาน

อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังมองมันในแง่ดี
การได้เข้ามาอยู่ในภาวะแบบนี้ มันช่วยกดดันให้ผมต้องพัฒนาตัวเองไม่ให้เป็นจุดอ่อนของชุมชนจนเกินไป

อย่างนั้นก็เถอะ ผมรู้สึกว่าชุมชนอาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นชุมชนที่มีลักษณะเฉพาะตัวจริงๆ
คงไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่เราจะได้อยู่กับนักคิดที่เก่งกาจมากมายอย่างนี้
ผมชอบนะ เวลาที่ได้คุยกับคนที่เก่งๆแล้วมันได้อะไรที่ปิ๊งขึ้นมาในหัวเลย ซึ่งผมก็ได้มากที่สุดจากที่นี่นั่นล่ะ

แต่ก็ยังมีหลายๆอย่างที่ผมยังข้องใจอยู่...

อย่างแรกคือ นักวิชาการเหมาะจะเป็นนักบริหารหรือไม่

ผมคิดว่าสองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน
นักวิชาการชั้นเลิศอาจไม่มีวันเป็นนักบริหารที่ดีได้เลย
เพราะว่าทั้งสองอย่างมันใช้ความสามารถคนละแบบ

นักวิชาการอาจจะเก่ง แม่น ละเอียด ในเรื่องความคิด และมีความรอบรู้ที่ยากจะมีใครเทียบ
แต่นักบริหาร โดยเฉพาะผู้ที่บริหารคน ต้องมีศิลป์ มีความยืดหยุ่นสูง ยิ่งทำงานกับคนมากและทำงานกับคนเก่ง ยิ่งต้องยืดหยุ่นมาก
คนนั้นเป็นคนอย่างไร คนนี้ต้องการอะไร นักบริหารต้องเข้าใจถึงความคิดความรู้สึกของคนที่อยู่รอบข้าง แล้วบริหารคนเหล่านั้นเพื่อให้องค์กรของตัวเองก้าวหน้าไปข้างหน้าและประสบความสำเร็จ

ผมคิดว่านักวิชาการส่วนน้อยด้วยซ้ำ ที่จะสามารถเป็นนักบริหารที่ดีได้
เพราะนักวิชาการส่วนใหญ่จะทำงานคนเดียว ไม่ต้องยุ่งกับคนอื่นมาก อาจจะมีการทำงานเป็นทีมบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นการแบ่งงานกันทำ
เมื่อต้องทำงานคนเดียวมากๆเข้า ผมว่ามันก็จะชินกับบรรทัดฐานของตัวเอง
เมื่อต้องมาบริหารคน ความอยากจะเข้าใจคนอื่นมันก็อาจจะหายไป เพราะพยายามจะเข้าใจตัวเองมากกว่า

นั่นก็เป็นโครงสร้างที่ทำให้ผมคิดว่า นักวิชาการส่วนใหญ่ไม่น่าจะเป็นนักบริหารที่ดีได้
ไม่ได้หมายความว่าเป็นไม่ได้นะครับ นักวิชาการบางคนอาจจะมีพรสวรรค์หลายด้านรวมทั้งด้านการบริหารมาตั้งแต่เกิด แต่ผมคิดว่าคนพวกนั้นหายาก

สรุปแล้วก็คือ
ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยยังสับสนเรื่องนักวิชาการกับนักบริหารอยู่
มหาวิทยาลัยน่าจะลองผสมผสาน นำนักบริหารจริงมาคุมการทำงานในส่วนที่ต้องใช้ความสามารถในการบริหารล้วนๆบ้าง
เช่น การวางแผนพัฒนา การบริหารคน ไม่ใช่พยายามผูกขาดหน้าที่เหล่านี้ให้กับนักวิชาการอย่างเดียว
ส่วนหน้าที่ที่มีผลเชิงวิชาการ เช่น การบริหารวิชาการ หรือ กิจกรรมนักศึกษา ก็ให้นักวิชาการทำต่อไป

ผมคิดว่าคนเหล่านี้น่าจะมีความเชี่ยวชาญในการบริหารเรื่องพวกนี้มากกว่านักวิชาการส่วนใหญ่
แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นคนที่เข้าใจปรัชญาเรื่องการศึกษานะครับ

อย่างที่สองก็คือ นักวิชาการกับการเป็นข้าราชการ

คือผมคิดว่า นักวิชาการในมหาวิทยาลัยรัฐของเราเนี่ย ไปๆมาๆจะถูกครอบงำโดยระบบราชการเข้าเสียแล้ว
คงเป็นเพราะการเป็นอาจารย์ในสมัยก่อนก็คือการเป็นข้าราชการ
และมหาวิทยาลัยก็เป็นหน่วยงานราชการเช่นกัน พนักงานในมหาวิทยาลัยก็เป็นข้าราชการ

ผมไม่ได้หมายความว่าการเป็นข้าราชการไม่ดีนะครับ แต่ด้วยอนิจลักษณะหลายๆอย่าง ทำให้ผมคิดว่าเราเสียบรรยากาศความเป็นวิชาการไปกับความเป็นราชการเยอะ
ผมคิดว่าระบบราชการมันยังเต็มไปด้วยกฎระเบียบที่ยุ่งยาก ไร้สาระ ที่ไม่อำนวยกับความอิสระที่นักวิชาการพึงมี

ผมเคยออกไปเยี่ยมชนบทกับอาจารย์ผู้ใหญ่ พอเห็นกระบวนการเบิกจ่ายเงินแล้วก็รู้สึกในใจว่า ทำไมมันยุ่งอย่างนี้เนี่ย ให้เรามาเองเราก็คงขี้เกียจมา หรือไม่ก็มาเองเลยดีกว่า ไม่ต้องมาแบบราชการหรอก

อันนั้นยังไม่เท่าไหร่ ที่แย่กว่านั้นก็คือ พออยู่ไปนานๆ เข้าเหล่าอาจารย์บางท่านก็ติดกรอบความคิดแบบราชการไปเลย
พอจะทำอะไรก็ต้องอิงระเบียบ การแต่งตั้ง ต้องเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีก็ทำอะไรไม่ได้
หรือแม้กระทั้งบางท่านก็กลายเป็นเช้าชามเย็นชามแบบข้าราชการไทยยุคคลาสสิกก็มี
เหล่านี้บางครั้งมันก็ทำให้เกิดต้นทุนที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับวงวิชาการของเรา

พูดไปพูดมาก็นึกไปถึงการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัย
ผมเคยวิเคราะห์ไว้ว่ามหาวิทยาลัยของเราไม่มีวันออกนอกระบบได้ภายในสิบปีที่จะถึงนี้
....ทำไมน่ะหรือครับ
ก็โครงสร้างแรงจูงใจในการออกนอกระบบของคนในมหาวิทยาลัยมันไม่มีน่ะสิ
เพราะหลังจากเห็นโครงสร้างผลตอบแทนของพนักงานมหาวิทยาลัยเทียบกับข้าราชการมหาวิทยาลัยแล้ว ผมรู้สึกว่าระบบการคิดค่าผลตอบแทนของพนักงานมหาวิทยาลัยโดยเทียบจากข้าราชการที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้น มันทำให้การเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งด้อยกว่าข้าราชการทันที
ผลตอบแทนที่ผมหมายถึงไม่ได้หมายความแค่เงินเดือนนะครับ แต่หมายถึงสิทธิประโยชน์ทั้งหมดที่จะได้รับจากการทำงาน เช่น บำเหน็จ บำนาญ ค่ารักษาพยาบาลพ่อแม่ เป็นต้น

คงไม่มีเหล่าข้าราชการมหาวิทยาลัยอยากจะเปลี่ยนสถานะของตนเองให้ด้อยลงกว่าเดิมหรอก

ที่เขียนมาหวังเพียงเพื่อเสนอปัญหาเฉยๆ ผมไม่ได้มาเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยขึ้นค่าตอบแทนให้พนักงานนะครับ (เดี๋ยวจะติดคดีเหมือนป.ป.ช.ซะ) แค่อยากจะบอกว่าวิธีคิดในปัจจุบันมันน่าจะเปลี่ยน หากต้องการให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบจริงๆ ก็ควรให้คนในมหาวิทยาลัยเห็นประโยชน์จากการออกนอกระบบได้ชัดเจน ไม่ใช่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองจะต้องเสียประโยชน์

ว้า เขียนมาซะนานเชียว
พอดีไม่ได้อัพเดตนานน่ะครับ ต้องขอโทษอีกครั้ง
ยังไงพอผ่านช่วงยุ่งๆไปแล้ว จะมาเขียนให้บ่อยๆนะครับ คราวหน้าว่าจะเขียนเกร็ดความรู้สนุกๆบ้าง พอดีไปอ่านอะไรน่าสนใจมาอยากจะเล่าให้ฟังครับ

Saturday, May 07, 2005

แนะนำกันก่อนว่ากระต่ายน้อยมาจากไหน

ก่อนที่ทุกท่านจะรู้สึกคันเท้าจากชื่อblogไปมากกว่านี้
ต้องขอแนะนำก่อนเล็กน้อยว่าเหตุใดจึงเลือกใช้ชื่อ กระต่ายน้อย

หากท่านใดที่รู้จักผมก็อาจพอทราบที่มาของชื่อ ว่าเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ในคืนวันที่ผมโดนหักหลังเละเทะด้วยตราบาปที่ศิษย์พี่ที่สุดรักอุตสาหะนำมาฆ่ากัน
....แต่หากไม่รู้จักผมมาก่อน
ก็ขอออกตัวว่าที่เลือกชื่อ กระต่ายน้อยก็เพราะ
....ผมเป็นแค่กระต่าย?

เปล่าครับ ที่จริงแล้วผมเลือกชื่อนี้ด้วยความบริสุทธิใจ ไม่มีเบื้องหลังใดๆ ไม่มีการปกปิดตนเอง
แค่อยากลองให้พวกท่านเรียกผมแบบน่ารักๆเท่านั้น

ลองคิดดูซิว่า จะฟังสบายขนาดไหนถ้ามีคนโพสเถียงกับผมโดยเรียกผมว่าคุณกระต่ายน้อย
"ผมคิดว่าตรรกกะของคุณกระต่ายน้อยยังไม่ถูกนัก โปรดปรับปรุง"
"ความคิดของคุณกระต่ายน้อยยังไม่ครอบคลุมทุกแง่มุมของเรื่องดังกล่าว"
ฟังสบายกว่าชื่อหนุ่มสิบเจ็ดที่บางคนพยายามตั้งให้เป็นไหนๆใช่ไหมล่ะ ท่านปิ่น

อีกเรื่องหนึ่งนอกจากชื่อblogที่อยากเล่าให้ฟัง คือทำไมผมถึงเริ่มเขียนblog
ผมชอบขีดๆเขียนๆมานานพอควร แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นผู้มีฝีมือในการขีดเขียน
ส่วนมากจะคิดไม่ตกว่าจะเขียนอะไรดี และก็กลัวว่าเขียนไปแล้วมันจะไม่จบ หรือมันจะห่วยเกิน
แต่หลังจากที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมblogของหลายๆท่านแล้วรู้สึกประทับใจ ก็เลยอยากมีกับเขาบ้าง
ผมเลยลงมือเปิดblogของตนเองทันที

ความทันทีครั้งนั้นขาดความเข้าทีอย่างแรง เพราะเปิดเสร็จปุ๊ปชื่อblogชื่อหนึ่งก็หายไปจากสารบบโดยเปล่าประโยชน์ ก็ผมเล่นซัดซะชื่อจริง นามสกุลจริง อย่างนี้น้องตั้กก็คงไม่ต้องเสียเวลาตามหาผู้ร้ายใจโฉดโพสรูปลับเลยล่ะซิ (แค่วลีเปรียบเทียบ อย่าเข้าใจผิด blogผมเป็นblogวิชาการ)
ถึงอย่างไรผมก็ยังไม่ละความพยายาม......

และหลังจากที่เตรียมเปิดblogอีกที่หนึ่งแล้วก็อ้ำอึ้งไม่รู้จะเขียนอะไรมานาน ในที่สุดความอ้ำอึ้งของผมก็จบลงแบบมีคาตาไลต์
ผมโดนมัดมือชกแบบไม่รู้ตัว.....แบบข้ามโลกซะด้วย
ไม่ใช่เลยครับ ไม่ใช่เลยจริงจริ้งจอร์จ ความจริงมีผู้หวังดีแนะทางสว่างให้กับผมต่างหาก หลังจากคำแนะนำของเขาทำให้ผมมีวันนี้(ที่ดีกว่า)มาแล้ว ก็ต้องขอขอบคุณท่านผู้สอนสั่งความรู้"ทางโลก"ให้กับผมผู้นั้นมา ณ ที่นี้ด้วย

ผมชอบการที่เทคโนโลยีทำให้คนที่มีอะไรคล้ายกันหลายๆคนได้มาพบกัน
มันคงเป็นสวรรค์สำหรับคนที่ชอบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยเฉพาะเหล่านักวิชาการรุ่นใหม่ทั้งหลาย
เป็นที่ๆจะทำให้เราได้มีโอกาสปลดตัวเองออกจากความหมกหมุ่นในหัวสมอง แล้วลองฟังคนอื่นบ้าง
เป็นที่ๆจะช่วยให้เราได้เรียนรู้และรับฟังคำติชมจากยอดฝีมือท่านอื่นๆ
หากเหล่าคนในวงวิชาการไม่ขวนขวายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเพื่อสร้างปัญญาแล้ว ใครอื่นเล่าในแผ่นดินจะเหมาะสม
ด้วยเห็นแล้วว่ามันมีข้อดีที่ปฏิเสธไม่ลงเช่นนี้...จึงขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์กับทุกท่าน

หากมีหลุดความไร้เดียงสาออกไปบ้างก็ขออย่าโกรธเคือง....ผมเองยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมาย

ขอให้ทุกท่านโปรดชี้แนะ "กระต่ายน้อย" คนนี้ด้วย

Thursday, May 05, 2005

กระต่ายน้อย First Post

ขอต้อนรับสู่โลกของกระต่ายน้อย