Thursday, December 15, 2005

ลมหนาวมา...ขอแก้ตัว

เอ่อ คือว่า.......

เนื่องจากบทควาทที่โพสต์คราวแล้วได้ก่อให้การตอบรับแบบที่ผมคาดไม่ถึง

ก็คือ ผู้เข้าเยี่ยมชมจำนวนมากได้เข้ามาให้กำลังใจ

ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งเป็นอันมาก.....

จึงต้องขอขอบคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ขอคารวะชาวบล็อคทุกท่าน หนึ่งจอก

มาถึงข้อความขอแก้ตัว ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ผมกลับมาโพสต์ในวันนี้

ก็คือ....จริงๆแล้วผมไม่ได้ท้อแท้อะไรหรอกครับ

แต่อารมณ์ปากกาในตอนที่เขียนมันพาไปเฉยๆ ก็เลยเหมือนกำลังท้อแท้มากมั้งครับ

เอาเป็นว่าผมเป็นพวกเครียดแล้วไม่นานก็หายดีกว่า

และตอนนี้ก็หายแล้วล่ะครับ (จริงๆนอนตื่นเดียวก็หายแล้วครับ)

เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ฟิตปั๋งเหมือนเดิม พร้อมเดินหน้าสอนหนังสือต่อไป ยังมีเรื่องใหญ่ให้ทำอยู่อีกเยอะครับ

.....เรื่องน่าหวั่นไหวในอนาคตยังมีอีกมากมาย ถ้าหวั่นไหวด้วยเรื่องแค่นี้ก็คงจะไปทำอะไรใหญ่ๆไม่ได้หรอกครับ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ อย่างน้อยก็ทำให้ผมรู้ว่ามีคนกำลังเอาใจช่วยผมอยู่พอควร

..............................

ตอนนี้อากาศหนาวแล้วนะครับ

ไม่รู้มีใครเคยเป็นแบบผมบ้างไหม เวลาหน้าหนาวเนี่ยจะรู้สึกเหมือนได้กลิ่นลม..ลมหนาวน่ะครับ

อาจจะเป็นเพราะผมเกิดหน้าหนาวด้วยก็ได้มั้งครับ พอได้กลิ่มลมที่ว่านี่แล้ว มันทำให้รู้สึกดียังไงก็ไม่รู้

ตอนนี้พอลมหนาวเริ่มพัดมา พวกปัญหาต่างๆก็เลยหายไปตามลมน่ะครับ

ก็หวังว่าลมหนาวที่พัดมาจะพัดเอาความสุขมาให้กับทุกๆคน

และก็พัดพาความเศร้าและปัญหาออกไปจากอกของทุกๆคนด้วยเหมือนกันนะครับ

Wednesday, December 07, 2005

โลกในอุดมคติ

บทความต่อไปนี้ เป็นบทความที่เขียนเชิงระบายความอัดอั้นบางอย่าง อาจจะมีหลายส่วนที่เป็นการมองโลกในแง่ร้าย ขอโปรดเข้าใจด้วยว่าคนเขียนอยากแจกจ่ายความอึกอัดออกจากใจ

โลกแห่งความจริง ฉันเป็นเหมือนคนตาบอด

โลกแห่งความฝันฉันมองเห็นมันสดใส

แต่ในวันนี้โลกแห่งความฝันทอดทิ้งฉันไปไหน...โลกไม่สดใสเหมือนวันก่อน


..............................

ผมคิดว่าบนโลกใบนี้ มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง

คนประเภทดังกล่าว....จะมีโลกใบหนึ่งอยู่ในความคิด

เป็นโลกแบบที่คนๆนั้นคิดฝันอยากให้มันเป็นจริง

ผมขอเรียกโลกแบบดังกล่าวว่า "โลกในอุดมคติ"

...โลกในอุดมคติ มีสังคมแบบที่คนๆนั้นคิดว่าดีงาม

...มีสิ่งที่คนๆนั้นเฝ้าฝันอยากให้เกิด เกิดขึ้นจริง

...........................

ผมคิดว่าผมก็เป็นคนหนึ่งที่มี "โลกในอุดมคติ" ของตัวเองอยู่เหมือนกัน

ตั้งแต่เด็ก ผมมักจะนั่งเหม่ออยู่ในความคิดอะไรบางอย่าง

บางครั้งก็เหมือนลอยไปอยู่บนโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งมีอยู่แต่ในจินตนาการ

นั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมไม่ชอบอยู่ในห้องที่ไม่มีหน้าต่าง เพราะมันทำให้ผมเหม่อได้ยาก

พอถึงวันหนึ่งที่ผมต้องเลือกทางเดินให้กับชีวิต

ผมก็เฝ้าคิดถามกับตัวเองว่า..ชีวิตในอุดมคติของผมมันจะเป็นเช่นไร???

คงเป็นโชคดีที่ผมได้รับรู้เรื่องต่างๆที่มีส่วนผลักดันชีวิตผมตอนนี้ ในวันที่ผมควรจะได้รู้มันที่สุด...

....ผมเลือกเดินตามทางของคนที่คิดว่า สังคมที่ดี มันจะเกิดขึ้นได้ถ้าผมเป็นส่วนหนึ่งที่พยายามให้มันเกิดขึ้น

...........................

เวลาผ่านไปจากวันที่ผมเลือกทางเดิน จนมาถึงวันที่ผมก้าวเข้าสู่ทางเดินนั้นๆอย่างเต็มตัวแล้ว

ผมกลายเป็นคนที่ "มีโลกในอุดมคติ" และพยายามให้ได้มาซึ่ง "ความจริงที่เป็นดั่งอุดมคติ" อยู่เสมอ

แม้นั่นอาจจะหมายถึงการต้องขัดแย้งกับคนที่ผมมองว่า "ไม่พยายามให้โลกมันดีขึ้น" บ้างในบางครั้ง

แต่มาถึงตอนนี้ ผมกลับครุ่นคิดถึงโลกในอุดมคติที่ผมเคยมี

ไม่ใช่เพราะผมลังเลที่จะเดินตามทางที่ผมวางไว้

แต่ผมกลับตั้งคำถามกับ "โลกในอุดมคติ" ของผม

...ผมเคยคิดว่า การฝ่าฟันให้ได้มาซึ่งโลกในอุดมคติ มันช่างน่านับถือดีแท้

มาวันนี้ ผมคิดว่ามันอาจเป็นการกระทำที่โดดเดี่ยวและสิ้นหวังก็ได้

........................

วันที่ผมเลือกเป็นอาจารย์ ผมมองอาชีพดังกล่าว เป็นอาชีพหนึ่งซึ่งมีคุณค่าเหลือเกิน

คุณค่าของการเป็นอาจารย์อยู่ที่การได้สร้างคน

น่าแปลก...ผมคงเป็นคนตกยุคกระมั้ง ที่คิดเอาแบบนี้

เพราะสำหรับหลายๆคนในรุ่นผม การเป็นอาจารย์ เหมือนการพาตนเองเข้าสู่วังวนแห่งความด้อย

ผมเคยตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์จากเพื่อนคนหนึ่งในเวลากลางคืน

เพื่อที่จะได้ยินคำถามที่ผมตอบไม่ได้ และไม่รู้จะตอบยังไง

"นายเป็นอาจารย์เหรอ เป็นทำไมวะ อาชีพกระจอก!!!"

...........................

และอีกสิ่งที่ผมคิดว่าผมมองพลาดไปก็คือ

ผมเคยคิดว่าอาชีพอาจารย์จะเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับนับถือ

แม้จะไม่ใช่จากสังคมรอบข้าง อย่างน้อยก็จากลูกศิษย์ที่ผมทำการสอน

ผมคงไม่ขออะไรมาก ขอแค่อย่างน้อยเขารู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มันดีกับตัวเขาก็พอแล้ว

ความคิดแบบดังกล่าวผลักดันให้ผมไปทำงานอยู่ได้ทุกวันอย่างมีพลัง

ผมอาจจะคิดผิดไปอีกอย่าง...

เพราะกับนักศึกษาหลายๆคนที่ผมได้เจอ

ทัศนคติของเขาต่อคนเป็นอาจารย์มันเปลี่ยนไป

หลายๆคนมองว่าอาจารย์เป็นอาชีพบริการอย่างหนึ่ง...เขาจ่าย...เราสอน

ถ้าเราบริการเขาไม่เป็นที่น่าพอใจ เขาก็มีสิทธิเต็มที่ที่จะทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการในร้านค้า(ห้องเรียน)

มันจะไปว่าเขาก็ไม่ถูกนัก

กับระบบการศึกษาที่เด็กนักเรียนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ใช้วิธี "ใช้เงินซื้อบริการ(ทางการศึกษา)ที่ดีกว่า" เพื่อตีตั๋วเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย

ซึ่งก็หมายถึง หาที่เรียนพิเศษดีๆ เพื่อจะได้เอ็นทรานซ์ติด นั่นล่ะ

ก็คงยากที่จะให้เขามีทัศนคติดีงามต่ออาชีพอาจารย์อยู่เหมือนเดิมได้

ตำนานของอาจารย์ที่พลิกชีวิตเด็กคนหนึ่งจากก้อนกรวดให้กลายเป็นทองได้...มันยิ่งกลายเป็นเรื่องในนิยายขึ้นทุกวัน

เพราะวันนี้อาจารย์กลับไม่ได้คงคุณค่าเช่นนั้นอีกต่อไป

คุณค่าของอาจารย์คงเหลือเพียง "ผู้มีสิทธิในการให้คุณโทษทางการศึกษา" ผ่านการให้เกรด

และคุณค่าของการเป็นอาจารย์ในลักษณะ "ผู้ให้ความรู้" ก็กลายเป็นแค่เรื่องรองจากการให้เกรดเท่านั้น

....ผมเคยคิดว่าความเห็นของอาจารย์น่าจะมีความหมายต่อนักศึกษา

แต่กับการได้สัมผัสโลกแห่งความจริงในตอนนี้

บางครั้งผมรู้สึกว่า....ความเห็นของผม มันไม่มีคุณค่า เพราะคุณค่าของผม มันช่างน้อยนิดในสายตาของเขา

คนที่เขาอยากรับฟังความคิดเห็น กลับกลายเป็นคนที่พวกเขามองว่ามีคุณค่า คือคนที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ มีรายได้เยอะๆ มีรถหรูๆขับ มีเงินทองใช้เหลือเฟือ

.........................

ด้วยเหตุผลดังกล่าว

บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนกับ "โลกในอุดมคติ" ของผมมันชักเริ่มจะแห้งแล้งไปบ้างเสียแล้ว

สิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดว่ามีคุณค่า เพราะมันมีคุณค่าสำหรับคนอื่น มันอาจจะไม่ได้มีคุณค่าสำหรับเขาจริงๆก็ได้

อืม......................

ฟังดูแล้วเศร้าๆ แต่ก็เป็นแง่มุมมืดที่เริ่มผุดขึ้นมาในใจของผมในตอนนี้

แม้จะเป็นแค่ส่วนน้อย แต่มันก็ก่อตัวขึ้นจากที่ไม่เคยมีมาก่อน

ผมรู้สึกกลัวเหลือเกินว่า วันหนึ่งมันจะเข้าเกาะกินจิตใจผมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ถึงวันหนึ่งผมอาจจะกลายเป็นคนที่ผมเคยไม่ชอบก็ได้

ผมอาจจะกลายเป็นอาจารย์ที่เข้าไปสอนให้ผ่านไปวันๆหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าทำการสอนได้ดีหรือเปล่า

พอใกล้ๆสอบ ผมก็บอกแนวข้อสอบเด็กไป แล้วก็ออกข้อสอบให้มันใกล้เคียง

สุดท้ายก็ตัดเกรดง่ายๆ แจกเอเยอะๆ

ผมคงสามารถอยู่ต่อไปได้ในสภาพดังกล่าวจนเกษียณ

..........................

ผมเชื่อว่าคนบนโลกนี้หลายๆคน เป็นคนที่มี "โลกในอุดมคติ" เป็นของตัวเองเหมือนอย่างที่ผมมี

แต่สิ่งที่ผมเชื่ออีกอย่างหนึ่ง

แม้จะไม่ได้ใส่ใจกับมันมาก่อน แต่ก็เริ่มรู้สึกถึงมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในตอนนี้แล้ว

ก็คือ พวกคนที่ใช้ชีวิตเพื่อพยายามสร้างโลกในอุดมคติของตนเองให้เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้

"มักจะต้องพบกับความผิดหวังในบั้นปลาย"

แล้วคุณล่ะมี "โลกในอุดมคติ" ไหม?