เอ่อ คือว่า.......
เนื่องจากบทควาทที่โพสต์คราวแล้วได้ก่อให้การตอบรับแบบที่ผมคาดไม่ถึง
ก็คือ ผู้เข้าเยี่ยมชมจำนวนมากได้เข้ามาให้กำลังใจ
ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งเป็นอันมาก.....
จึงต้องขอขอบคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ขอคารวะชาวบล็อคทุกท่าน หนึ่งจอก
มาถึงข้อความขอแก้ตัว ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ผมกลับมาโพสต์ในวันนี้
ก็คือ....จริงๆแล้วผมไม่ได้ท้อแท้อะไรหรอกครับ
แต่อารมณ์ปากกาในตอนที่เขียนมันพาไปเฉยๆ ก็เลยเหมือนกำลังท้อแท้มากมั้งครับ
เอาเป็นว่าผมเป็นพวกเครียดแล้วไม่นานก็หายดีกว่า
และตอนนี้ก็หายแล้วล่ะครับ (จริงๆนอนตื่นเดียวก็หายแล้วครับ)
เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ฟิตปั๋งเหมือนเดิม พร้อมเดินหน้าสอนหนังสือต่อไป ยังมีเรื่องใหญ่ให้ทำอยู่อีกเยอะครับ
.....เรื่องน่าหวั่นไหวในอนาคตยังมีอีกมากมาย ถ้าหวั่นไหวด้วยเรื่องแค่นี้ก็คงจะไปทำอะไรใหญ่ๆไม่ได้หรอกครับ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ อย่างน้อยก็ทำให้ผมรู้ว่ามีคนกำลังเอาใจช่วยผมอยู่พอควร
..............................
ตอนนี้อากาศหนาวแล้วนะครับ
ไม่รู้มีใครเคยเป็นแบบผมบ้างไหม เวลาหน้าหนาวเนี่ยจะรู้สึกเหมือนได้กลิ่นลม..ลมหนาวน่ะครับ
อาจจะเป็นเพราะผมเกิดหน้าหนาวด้วยก็ได้มั้งครับ พอได้กลิ่มลมที่ว่านี่แล้ว มันทำให้รู้สึกดียังไงก็ไม่รู้
ตอนนี้พอลมหนาวเริ่มพัดมา พวกปัญหาต่างๆก็เลยหายไปตามลมน่ะครับ
ก็หวังว่าลมหนาวที่พัดมาจะพัดเอาความสุขมาให้กับทุกๆคน
และก็พัดพาความเศร้าและปัญหาออกไปจากอกของทุกๆคนด้วยเหมือนกันนะครับ
Thursday, December 15, 2005
Wednesday, December 07, 2005
โลกในอุดมคติ
บทความต่อไปนี้ เป็นบทความที่เขียนเชิงระบายความอัดอั้นบางอย่าง อาจจะมีหลายส่วนที่เป็นการมองโลกในแง่ร้าย ขอโปรดเข้าใจด้วยว่าคนเขียนอยากแจกจ่ายความอึกอัดออกจากใจ
โลกแห่งความจริง ฉันเป็นเหมือนคนตาบอด
โลกแห่งความฝันฉันมองเห็นมันสดใส
แต่ในวันนี้โลกแห่งความฝันทอดทิ้งฉันไปไหน...โลกไม่สดใสเหมือนวันก่อน
..............................
ผมคิดว่าบนโลกใบนี้ มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง
คนประเภทดังกล่าว....จะมีโลกใบหนึ่งอยู่ในความคิด
เป็นโลกแบบที่คนๆนั้นคิดฝันอยากให้มันเป็นจริง
ผมขอเรียกโลกแบบดังกล่าวว่า "โลกในอุดมคติ"
...โลกในอุดมคติ มีสังคมแบบที่คนๆนั้นคิดว่าดีงาม
...มีสิ่งที่คนๆนั้นเฝ้าฝันอยากให้เกิด เกิดขึ้นจริง
...........................
ผมคิดว่าผมก็เป็นคนหนึ่งที่มี "โลกในอุดมคติ" ของตัวเองอยู่เหมือนกัน
ตั้งแต่เด็ก ผมมักจะนั่งเหม่ออยู่ในความคิดอะไรบางอย่าง
บางครั้งก็เหมือนลอยไปอยู่บนโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งมีอยู่แต่ในจินตนาการ
นั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมไม่ชอบอยู่ในห้องที่ไม่มีหน้าต่าง เพราะมันทำให้ผมเหม่อได้ยาก
พอถึงวันหนึ่งที่ผมต้องเลือกทางเดินให้กับชีวิต
ผมก็เฝ้าคิดถามกับตัวเองว่า..ชีวิตในอุดมคติของผมมันจะเป็นเช่นไร???
คงเป็นโชคดีที่ผมได้รับรู้เรื่องต่างๆที่มีส่วนผลักดันชีวิตผมตอนนี้ ในวันที่ผมควรจะได้รู้มันที่สุด...
....ผมเลือกเดินตามทางของคนที่คิดว่า สังคมที่ดี มันจะเกิดขึ้นได้ถ้าผมเป็นส่วนหนึ่งที่พยายามให้มันเกิดขึ้น
...........................
เวลาผ่านไปจากวันที่ผมเลือกทางเดิน จนมาถึงวันที่ผมก้าวเข้าสู่ทางเดินนั้นๆอย่างเต็มตัวแล้ว
ผมกลายเป็นคนที่ "มีโลกในอุดมคติ" และพยายามให้ได้มาซึ่ง "ความจริงที่เป็นดั่งอุดมคติ" อยู่เสมอ
แม้นั่นอาจจะหมายถึงการต้องขัดแย้งกับคนที่ผมมองว่า "ไม่พยายามให้โลกมันดีขึ้น" บ้างในบางครั้ง
แต่มาถึงตอนนี้ ผมกลับครุ่นคิดถึงโลกในอุดมคติที่ผมเคยมี
ไม่ใช่เพราะผมลังเลที่จะเดินตามทางที่ผมวางไว้
แต่ผมกลับตั้งคำถามกับ "โลกในอุดมคติ" ของผม
...ผมเคยคิดว่า การฝ่าฟันให้ได้มาซึ่งโลกในอุดมคติ มันช่างน่านับถือดีแท้
มาวันนี้ ผมคิดว่ามันอาจเป็นการกระทำที่โดดเดี่ยวและสิ้นหวังก็ได้
........................
วันที่ผมเลือกเป็นอาจารย์ ผมมองอาชีพดังกล่าว เป็นอาชีพหนึ่งซึ่งมีคุณค่าเหลือเกิน
คุณค่าของการเป็นอาจารย์อยู่ที่การได้สร้างคน
น่าแปลก...ผมคงเป็นคนตกยุคกระมั้ง ที่คิดเอาแบบนี้
เพราะสำหรับหลายๆคนในรุ่นผม การเป็นอาจารย์ เหมือนการพาตนเองเข้าสู่วังวนแห่งความด้อย
ผมเคยตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์จากเพื่อนคนหนึ่งในเวลากลางคืน
เพื่อที่จะได้ยินคำถามที่ผมตอบไม่ได้ และไม่รู้จะตอบยังไง
"นายเป็นอาจารย์เหรอ เป็นทำไมวะ อาชีพกระจอก!!!"
...........................
และอีกสิ่งที่ผมคิดว่าผมมองพลาดไปก็คือ
ผมเคยคิดว่าอาชีพอาจารย์จะเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับนับถือ
แม้จะไม่ใช่จากสังคมรอบข้าง อย่างน้อยก็จากลูกศิษย์ที่ผมทำการสอน
ผมคงไม่ขออะไรมาก ขอแค่อย่างน้อยเขารู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มันดีกับตัวเขาก็พอแล้ว
ความคิดแบบดังกล่าวผลักดันให้ผมไปทำงานอยู่ได้ทุกวันอย่างมีพลัง
ผมอาจจะคิดผิดไปอีกอย่าง...
เพราะกับนักศึกษาหลายๆคนที่ผมได้เจอ
ทัศนคติของเขาต่อคนเป็นอาจารย์มันเปลี่ยนไป
หลายๆคนมองว่าอาจารย์เป็นอาชีพบริการอย่างหนึ่ง...เขาจ่าย...เราสอน
ถ้าเราบริการเขาไม่เป็นที่น่าพอใจ เขาก็มีสิทธิเต็มที่ที่จะทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการในร้านค้า(ห้องเรียน)
มันจะไปว่าเขาก็ไม่ถูกนัก
กับระบบการศึกษาที่เด็กนักเรียนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ใช้วิธี "ใช้เงินซื้อบริการ(ทางการศึกษา)ที่ดีกว่า" เพื่อตีตั๋วเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย
ซึ่งก็หมายถึง หาที่เรียนพิเศษดีๆ เพื่อจะได้เอ็นทรานซ์ติด นั่นล่ะ
ก็คงยากที่จะให้เขามีทัศนคติดีงามต่ออาชีพอาจารย์อยู่เหมือนเดิมได้
ตำนานของอาจารย์ที่พลิกชีวิตเด็กคนหนึ่งจากก้อนกรวดให้กลายเป็นทองได้...มันยิ่งกลายเป็นเรื่องในนิยายขึ้นทุกวัน
เพราะวันนี้อาจารย์กลับไม่ได้คงคุณค่าเช่นนั้นอีกต่อไป
คุณค่าของอาจารย์คงเหลือเพียง "ผู้มีสิทธิในการให้คุณโทษทางการศึกษา" ผ่านการให้เกรด
และคุณค่าของการเป็นอาจารย์ในลักษณะ "ผู้ให้ความรู้" ก็กลายเป็นแค่เรื่องรองจากการให้เกรดเท่านั้น
....ผมเคยคิดว่าความเห็นของอาจารย์น่าจะมีความหมายต่อนักศึกษา
แต่กับการได้สัมผัสโลกแห่งความจริงในตอนนี้
บางครั้งผมรู้สึกว่า....ความเห็นของผม มันไม่มีคุณค่า เพราะคุณค่าของผม มันช่างน้อยนิดในสายตาของเขา
คนที่เขาอยากรับฟังความคิดเห็น กลับกลายเป็นคนที่พวกเขามองว่ามีคุณค่า คือคนที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ มีรายได้เยอะๆ มีรถหรูๆขับ มีเงินทองใช้เหลือเฟือ
.........................
ด้วยเหตุผลดังกล่าว
บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนกับ "โลกในอุดมคติ" ของผมมันชักเริ่มจะแห้งแล้งไปบ้างเสียแล้ว
สิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดว่ามีคุณค่า เพราะมันมีคุณค่าสำหรับคนอื่น มันอาจจะไม่ได้มีคุณค่าสำหรับเขาจริงๆก็ได้
อืม......................
ฟังดูแล้วเศร้าๆ แต่ก็เป็นแง่มุมมืดที่เริ่มผุดขึ้นมาในใจของผมในตอนนี้
แม้จะเป็นแค่ส่วนน้อย แต่มันก็ก่อตัวขึ้นจากที่ไม่เคยมีมาก่อน
ผมรู้สึกกลัวเหลือเกินว่า วันหนึ่งมันจะเข้าเกาะกินจิตใจผมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ถึงวันหนึ่งผมอาจจะกลายเป็นคนที่ผมเคยไม่ชอบก็ได้
ผมอาจจะกลายเป็นอาจารย์ที่เข้าไปสอนให้ผ่านไปวันๆหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าทำการสอนได้ดีหรือเปล่า
พอใกล้ๆสอบ ผมก็บอกแนวข้อสอบเด็กไป แล้วก็ออกข้อสอบให้มันใกล้เคียง
สุดท้ายก็ตัดเกรดง่ายๆ แจกเอเยอะๆ
ผมคงสามารถอยู่ต่อไปได้ในสภาพดังกล่าวจนเกษียณ
..........................
ผมเชื่อว่าคนบนโลกนี้หลายๆคน เป็นคนที่มี "โลกในอุดมคติ" เป็นของตัวเองเหมือนอย่างที่ผมมี
แต่สิ่งที่ผมเชื่ออีกอย่างหนึ่ง
แม้จะไม่ได้ใส่ใจกับมันมาก่อน แต่ก็เริ่มรู้สึกถึงมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในตอนนี้แล้ว
ก็คือ พวกคนที่ใช้ชีวิตเพื่อพยายามสร้างโลกในอุดมคติของตนเองให้เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้
"มักจะต้องพบกับความผิดหวังในบั้นปลาย"
แล้วคุณล่ะมี "โลกในอุดมคติ" ไหม?
โลกแห่งความจริง ฉันเป็นเหมือนคนตาบอด
โลกแห่งความฝันฉันมองเห็นมันสดใส
แต่ในวันนี้โลกแห่งความฝันทอดทิ้งฉันไปไหน...โลกไม่สดใสเหมือนวันก่อน
..............................
ผมคิดว่าบนโลกใบนี้ มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง
คนประเภทดังกล่าว....จะมีโลกใบหนึ่งอยู่ในความคิด
เป็นโลกแบบที่คนๆนั้นคิดฝันอยากให้มันเป็นจริง
ผมขอเรียกโลกแบบดังกล่าวว่า "โลกในอุดมคติ"
...โลกในอุดมคติ มีสังคมแบบที่คนๆนั้นคิดว่าดีงาม
...มีสิ่งที่คนๆนั้นเฝ้าฝันอยากให้เกิด เกิดขึ้นจริง
...........................
ผมคิดว่าผมก็เป็นคนหนึ่งที่มี "โลกในอุดมคติ" ของตัวเองอยู่เหมือนกัน
ตั้งแต่เด็ก ผมมักจะนั่งเหม่ออยู่ในความคิดอะไรบางอย่าง
บางครั้งก็เหมือนลอยไปอยู่บนโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งมีอยู่แต่ในจินตนาการ
นั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมไม่ชอบอยู่ในห้องที่ไม่มีหน้าต่าง เพราะมันทำให้ผมเหม่อได้ยาก
พอถึงวันหนึ่งที่ผมต้องเลือกทางเดินให้กับชีวิต
ผมก็เฝ้าคิดถามกับตัวเองว่า..ชีวิตในอุดมคติของผมมันจะเป็นเช่นไร???
คงเป็นโชคดีที่ผมได้รับรู้เรื่องต่างๆที่มีส่วนผลักดันชีวิตผมตอนนี้ ในวันที่ผมควรจะได้รู้มันที่สุด...
....ผมเลือกเดินตามทางของคนที่คิดว่า สังคมที่ดี มันจะเกิดขึ้นได้ถ้าผมเป็นส่วนหนึ่งที่พยายามให้มันเกิดขึ้น
...........................
เวลาผ่านไปจากวันที่ผมเลือกทางเดิน จนมาถึงวันที่ผมก้าวเข้าสู่ทางเดินนั้นๆอย่างเต็มตัวแล้ว
ผมกลายเป็นคนที่ "มีโลกในอุดมคติ" และพยายามให้ได้มาซึ่ง "ความจริงที่เป็นดั่งอุดมคติ" อยู่เสมอ
แม้นั่นอาจจะหมายถึงการต้องขัดแย้งกับคนที่ผมมองว่า "ไม่พยายามให้โลกมันดีขึ้น" บ้างในบางครั้ง
แต่มาถึงตอนนี้ ผมกลับครุ่นคิดถึงโลกในอุดมคติที่ผมเคยมี
ไม่ใช่เพราะผมลังเลที่จะเดินตามทางที่ผมวางไว้
แต่ผมกลับตั้งคำถามกับ "โลกในอุดมคติ" ของผม
...ผมเคยคิดว่า การฝ่าฟันให้ได้มาซึ่งโลกในอุดมคติ มันช่างน่านับถือดีแท้
มาวันนี้ ผมคิดว่ามันอาจเป็นการกระทำที่โดดเดี่ยวและสิ้นหวังก็ได้
........................
วันที่ผมเลือกเป็นอาจารย์ ผมมองอาชีพดังกล่าว เป็นอาชีพหนึ่งซึ่งมีคุณค่าเหลือเกิน
คุณค่าของการเป็นอาจารย์อยู่ที่การได้สร้างคน
น่าแปลก...ผมคงเป็นคนตกยุคกระมั้ง ที่คิดเอาแบบนี้
เพราะสำหรับหลายๆคนในรุ่นผม การเป็นอาจารย์ เหมือนการพาตนเองเข้าสู่วังวนแห่งความด้อย
ผมเคยตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์จากเพื่อนคนหนึ่งในเวลากลางคืน
เพื่อที่จะได้ยินคำถามที่ผมตอบไม่ได้ และไม่รู้จะตอบยังไง
"นายเป็นอาจารย์เหรอ เป็นทำไมวะ อาชีพกระจอก!!!"
...........................
และอีกสิ่งที่ผมคิดว่าผมมองพลาดไปก็คือ
ผมเคยคิดว่าอาชีพอาจารย์จะเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับนับถือ
แม้จะไม่ใช่จากสังคมรอบข้าง อย่างน้อยก็จากลูกศิษย์ที่ผมทำการสอน
ผมคงไม่ขออะไรมาก ขอแค่อย่างน้อยเขารู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มันดีกับตัวเขาก็พอแล้ว
ความคิดแบบดังกล่าวผลักดันให้ผมไปทำงานอยู่ได้ทุกวันอย่างมีพลัง
ผมอาจจะคิดผิดไปอีกอย่าง...
เพราะกับนักศึกษาหลายๆคนที่ผมได้เจอ
ทัศนคติของเขาต่อคนเป็นอาจารย์มันเปลี่ยนไป
หลายๆคนมองว่าอาจารย์เป็นอาชีพบริการอย่างหนึ่ง...เขาจ่าย...เราสอน
ถ้าเราบริการเขาไม่เป็นที่น่าพอใจ เขาก็มีสิทธิเต็มที่ที่จะทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการในร้านค้า(ห้องเรียน)
มันจะไปว่าเขาก็ไม่ถูกนัก
กับระบบการศึกษาที่เด็กนักเรียนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ใช้วิธี "ใช้เงินซื้อบริการ(ทางการศึกษา)ที่ดีกว่า" เพื่อตีตั๋วเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย
ซึ่งก็หมายถึง หาที่เรียนพิเศษดีๆ เพื่อจะได้เอ็นทรานซ์ติด นั่นล่ะ
ก็คงยากที่จะให้เขามีทัศนคติดีงามต่ออาชีพอาจารย์อยู่เหมือนเดิมได้
ตำนานของอาจารย์ที่พลิกชีวิตเด็กคนหนึ่งจากก้อนกรวดให้กลายเป็นทองได้...มันยิ่งกลายเป็นเรื่องในนิยายขึ้นทุกวัน
เพราะวันนี้อาจารย์กลับไม่ได้คงคุณค่าเช่นนั้นอีกต่อไป
คุณค่าของอาจารย์คงเหลือเพียง "ผู้มีสิทธิในการให้คุณโทษทางการศึกษา" ผ่านการให้เกรด
และคุณค่าของการเป็นอาจารย์ในลักษณะ "ผู้ให้ความรู้" ก็กลายเป็นแค่เรื่องรองจากการให้เกรดเท่านั้น
....ผมเคยคิดว่าความเห็นของอาจารย์น่าจะมีความหมายต่อนักศึกษา
แต่กับการได้สัมผัสโลกแห่งความจริงในตอนนี้
บางครั้งผมรู้สึกว่า....ความเห็นของผม มันไม่มีคุณค่า เพราะคุณค่าของผม มันช่างน้อยนิดในสายตาของเขา
คนที่เขาอยากรับฟังความคิดเห็น กลับกลายเป็นคนที่พวกเขามองว่ามีคุณค่า คือคนที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ มีรายได้เยอะๆ มีรถหรูๆขับ มีเงินทองใช้เหลือเฟือ
.........................
ด้วยเหตุผลดังกล่าว
บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนกับ "โลกในอุดมคติ" ของผมมันชักเริ่มจะแห้งแล้งไปบ้างเสียแล้ว
สิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดว่ามีคุณค่า เพราะมันมีคุณค่าสำหรับคนอื่น มันอาจจะไม่ได้มีคุณค่าสำหรับเขาจริงๆก็ได้
อืม......................
ฟังดูแล้วเศร้าๆ แต่ก็เป็นแง่มุมมืดที่เริ่มผุดขึ้นมาในใจของผมในตอนนี้
แม้จะเป็นแค่ส่วนน้อย แต่มันก็ก่อตัวขึ้นจากที่ไม่เคยมีมาก่อน
ผมรู้สึกกลัวเหลือเกินว่า วันหนึ่งมันจะเข้าเกาะกินจิตใจผมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ถึงวันหนึ่งผมอาจจะกลายเป็นคนที่ผมเคยไม่ชอบก็ได้
ผมอาจจะกลายเป็นอาจารย์ที่เข้าไปสอนให้ผ่านไปวันๆหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าทำการสอนได้ดีหรือเปล่า
พอใกล้ๆสอบ ผมก็บอกแนวข้อสอบเด็กไป แล้วก็ออกข้อสอบให้มันใกล้เคียง
สุดท้ายก็ตัดเกรดง่ายๆ แจกเอเยอะๆ
ผมคงสามารถอยู่ต่อไปได้ในสภาพดังกล่าวจนเกษียณ
..........................
ผมเชื่อว่าคนบนโลกนี้หลายๆคน เป็นคนที่มี "โลกในอุดมคติ" เป็นของตัวเองเหมือนอย่างที่ผมมี
แต่สิ่งที่ผมเชื่ออีกอย่างหนึ่ง
แม้จะไม่ได้ใส่ใจกับมันมาก่อน แต่ก็เริ่มรู้สึกถึงมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในตอนนี้แล้ว
ก็คือ พวกคนที่ใช้ชีวิตเพื่อพยายามสร้างโลกในอุดมคติของตนเองให้เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้
"มักจะต้องพบกับความผิดหวังในบั้นปลาย"
แล้วคุณล่ะมี "โลกในอุดมคติ" ไหม?
Subscribe to:
Posts (Atom)