ไม่เคยมีใครใส่ใจกับรองแชมป์ แชมป์เท่านั้นที่จะถูกจดจำ
แต่แล้ววันนี้ เขาคนนี้ มิชาเอล บัลลัค ก็ต้องประสบกับชะตากรรมเดิมๆอีกครั้ง
เพราะเขา...คงเกิดมาเพื่อเป็นที่สองอย่างแท้จริง

...............
เมษายน 2545
ทีมไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ภายใต้การนำทัพของบัลลัค ผู้เล่นที่กล่าวได้ว่าดีที่สุดในทีม กำลังลุ้นแชมป์อยู่มากมาย
ทีมกำลังนำห่างอยู่ในลีกบุนเดสลีกา และยังได้เข้าชิงบอลถ้วยเยอรมันคัพ
ที่สำคัญ เลเวอร์คูเซ่น ยังได้เข้าชิงยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกอีกต่างหาก
แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
อยู่ดีๆทีมของบัลลัคก็ช็อตไปในบอลลีค พลาดท่าโดนโบรุสเซีย ดอร์ทมุนแซงได้แชมป์ไปในโค้งสุดท้าย
มิหนำซ้ำ ยังพ่ายแพ้บอลเยอรมันคัพไปอย่างหมดท่าให้กับชาลเก้ 04
ที่แย่ที่สุดก็คือ เลเวอร์คูเซ่น ยังได้ฝันสลาย พ่ายแพ้นัดชิงยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกไปให้กับรีล มาดริด ด้วยน้ำมือของซีเนอดีน ซีดาน ซึ่งกำลังเล่นฟุตบอลได้ตรงตามนิยามของของคำว่า "ขั้นเทพ" อยู่ในขนะนั้น
เอาล่ะครับ สามรองแชมป์เข้าไปแล้ว
แต่เดี๋ยวก่อน เรื่องยังไม่จบแค่นี้
กรกฏาคม 2545 ทีมเยอรมนีที่มีบัลลัคเปนผู้เล่นที่ดีที่สุดก็ได้เข้าสู่รอบชิงฟุตบอลโลก โดยพบกับบราซิล
หลังจากนั้นตำนานความผิดหวังของบัลลัคก็เกิดขึ้นสมบูรณ์เป็นครั้งแรก
แม้เขาจะถูกแบนไม่ได้ลงเล่นในนัดชิง
แต่ก็นั่นล่ะ ดวงที่สองมันแรง และเยอรมันก็พ่ายแพ้ไปให้กับบราซิล
ในปี 2545 บัลลัค จึงโกย "รองแชมป์" ไปทั้งหมด 4 รายการด้วยกัน
เป็นนักฟุตบอลที่ได้รองแชมป์มากที่สุดในปีเดียวกันคนหนึ่ง
.............แต่เดี๋ยวก่อนครับ ท่านผู้ชม เรื่องยังไม่จบเท่านี้
เมษายน 2551
หกปีผ่านไป บัลลัคได้เดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวจนมาอยู่ที่ประเทศอากาศแย่ อาหารห่วย เกาะที่ไม่มีซีฟู้ด และมหาอำนาจที่ต้องล่าอนานิคมเพราะไม่อยากอยู่ประเทศตัวเองกัน...อังกฤษนั้นเอง
เชลซีของบัลลัคก็กำลังลุ้นแชมป์อยู่มากมาย
เชลซีได้เข้าชิงแชมป์ลีกคัพกับสเปอร์ ที่มที่ว่าไปแล้วก็อ่อนกว่ามาก
ฟอร์มในบอลลีกก็ไปได้ดี หายใจรดต้นคอแมนยูอยู่โดยมีคะแนนเสมอกัน ต่างแต่เพียงแค่ลูกได้เสีย
ที่สำคัญ บัลลัคยังได้มีโอกาสแก้ตัวในแชมป์เปี้ยนส์ลีกนัดชิงกับแมนยู
และแล้วพลังรองแชมป์ของบัลลัคก็เปล่งประกายอีกครั้ง
เชลซีพ่ายสเปอร์ไปในนัดชิงลีกคัพแบบโคตรโชคร้าย บอลเด้งกระดอนไปโดนหน้าคู่ต่อสู้เข้าโกลแพ้ไปเฉยเรย
และก็ยังไล่ตามแมนยูไม่ทันในลีก แมนยูจึงได้แชมป์ไปอย่างฟลุคๆ (เพราะทีมที่ดีที่สุดจริงๆคืออาร์เซนอล)
สองรองแชมป์ล่วงหน้าไปแล้ว จนมาถึงนัดชิงแชมป์เปี้ยนส์ลีก
ท่านผู้ชมครับ คงไม่ต้องสืบว่าเกิดอะไรขึ้น
เสมอกันในเวลา ต้องดวลจุดโทษ
โรนัลโด้ของแมนยูพลาดไปก่อนหนึ่งลูก ทำให้เชลซีขึ้นนำ เหลือเพียงยิงเข้าในลูกสุดท้ายก็จะชนะทันที
ในวินาทีที่ จอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีมเชลซี ก้าวไปยิงจุดโทษลูกสุดท้ายเพื่อให้ทีมชนะนั้น ไม่มีใครนึกจริงๆว่าเขาจะพลาด เทอร์รี่ก้าวเข้าไปด้วยสีหน้ามั่นใจมากๆ
เทอร์รี่วิ่งเข้าหาลูกฟุตบอลอย่างช้าๆ แฟนๆเชลซีเตรียมฉลอง บัลลัคเองคงคิดในใจว่า "กรูจะล้างอาถรรพ์ได้เแล้วเฟร้ย"
อุแม่เจ้า! ประดุจดั่งมีคนเอากล้วยหอมจอมซนให้เทอรรี่สวมใส่แทนอดิดาส!!!
เทอร์รี่ลื่่นครับ ยิงออกไปเฉยเลย ผมดูอยู่ยังงง มันลื่นได้ไงวะ
แล้วแมนยูก็ชนะไปในการดวลจุดโทษต่อหลังจากนั้น
สามรองแชมป์ แกรมด์สลิ่มกลับมาให้บัลลัคได้ลิ้มรสอีกครั้ง
..................แต่เดี๋ยวก่อน อีกครั้งที่เรื่องยังไม่จบแค่นี้
เพราะในวันนี้ วันที่ 29 กรกฏาคม 2551
ทีมเยอรมนีภายใต้การนำทัพของบัลลัคก็ได้ฝ่าฝันมาจนถึงรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
โดยได้พบกับทีมสเปนในนัดชิง
ทุกท่านคงทราบดีแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
สเปนก็ชนะไป
และบัลลัคก็ได้รองแชมป์ไปอีกครั้ง
รวมเป็นสี่รองแชมป์ ครบถ้วนเท่าหกปีที่แล้วเดี้ยะๆ
.......................
เขาคนนี้นี่ล่ะครับ ที่เหมาะกับเพลงของวงไอน้ำมากที่สุด
"ที่หนึ่งไม่ไหว ฉันเต็มใจขอเป็นแค่ที่สอง"
ขอคารวะนายจริงๆ มิชาเอล บัลลัค แม้เขาจะว่ากันว่าไม่มีใครจดจำรองแชมป์ แต่เราจะจดจำนายไว้แน่นอน
...ว่านายคือที่สอง...ตลอดกาล
...ขอเชิญทุกท่านร่วมร้องเพลง "ที่หนึ่งไม่ไหว" ให้กับมิชาเอล บัลลัค
...และขอเชิญชม "ลูกลื่น" ของ จอห์น เทอรี่ อีกครั้งหนึ่ง