ต้องขอโทษทุกท่านด้วยที่หายไปเสียนาน
พอดีหลังจากที่ปิดคอร์สการสอนวิชาเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นให้กับทางคณะ และผ่านพ้นภาระการตรวจข้อสอบอันหนักอึ้ง เนื่องจากคอร์สดังกล่าวมีจำนวนนักศึกษาลงทะเบียนมากเป็นประวัติการณ์ (เกือบ 900 คน)ก็โดนโรคไม่อยากทำอะไรเข้าเล่นงาน
เล่นบวกกับสภาวะการเมืองอันแสนอึดอัด เลยพลอยทำให้วันๆกระผมรู้สึกไม่อยากทำอะไร เปิดแต่บทความ ข่าว เว็บบอร์ด อ่านไปเรื่อย มิซ้ำพอตกดึกก็หาลู่ทางไปเสวนาการเมือง รวมถึงไปร่วมชุมนุมทางการเมืองอยู่บ่อยๆ
ขี้เกียจตัวเป็นขนจนรู้สึกทนไม่ได้แล้ว เลยต้องขอลุกมาเขียนอะไรบ้าง
แต่ครั้งนี้คงไม่ขอเขียนเรื่องการเมืองนะครับ พอดีกำลังเขียนอยู่อีกอันแต่ไม่เสร็จเสียที ไว้เสร็จแล้วค่อยมาลงละกัน
ที่อยากจะเขียนในครั้งนี้คงเป็นประสบการณ์ต่างๆที่ได้จากการสอนวิชาเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ครั้งแรกแบบเต็มๆคอร์สให้กับทางคณะ
จริงๆแล้วผมเองก็มีประสบการณ์ในการสอนเศรษฐศาสตร์มาบ้าง ในฐานะผู้ช่วยสอนและในฐานะติวเตอร์ ทำให้การสอนไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด
แต่พอได้มาสอนเองแบบเต็มๆคอร์ส ก็เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น และเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถเลยทีเดียว
เพราะตัวที่ได้มาสอนนั้น เป็นวิชาที่ต้องสอนให้กับเด็กนอกคณะ ที่ไม่ได้เข้ามามหาวิทยาลัยเพื่อเรียนเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาหลัก แถมวิชาดังกล่าวนั้น ได้กิตติศัพท์มาอย่างยาวนานกับเหล่าเด็กนอกคณะว่าไม่สนุก น่าเบื่อ และยาก
ถึงขั้นที่ว่า พอผมรู้ว่าทางคณะได้จัดให้ผมสอนตัวดังกล่าวและไปเล่าให้อาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งฟัง ท่านถึงกับแนะนำให้ผมไปขอสอนตัวอื่น
แต่ผมก็ดันทุรังจะสอนตัวนี้ต่อไป เพราะผมเชื่อว่าวิชาเศรษฐศาสตร์มีดีแน่นอนผมถึงได้ชอบ และเมื่อมันมีดี ผมก็ต้องทำให้มันสนุกสำหรับคนอื่นๆได้ซิ
.................................
มาที่จุดเริ่มต้นของคอร์สนี้ดีกว่า
ตั้งแต่แรกเลยที่รู้ว่าต้องทำการสอนวิชาที่มักจะถูกวิจารณ์ว่าเป็นจุดอ่อนของทางคณะมายาวนาน ผมก็หมายมั่นเต็มที่ว่าจะต้องเปลี่ยนมันให้ดีขึ้นให้ได้
ผมเคยได้เรียนวิชาเกี่ยวกับบริหารธุรกิจตัวหนึ่งตอนไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา เป็นตัวที่ผมประทับใจมากๆ เพราะอาจารย์สอนดี มีเรื่องตลกๆคมๆให้ฟังอยู่เรื่อยๆ และเทคนิคการสอนแกก็แพรวพราวเอามากๆ มีการใช้สื่อการสอนทุกรูปแบบเต็มที่ทั้งวีดีโอ คอมพิวเตอร์
ที่ผมประทับใจที่สุดก็คือ ในคาบสุดท้ายพอแกสอนจบปุ๊ป เด็กทุกคนในห้องลุกขึ้นปรบมือให้แกพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายเป็นเวลาตั้งนาน
ตั้งแต่นั้นภาพดังกล่าวก็ติดในหัวผม ผมรู้สึกว่ากับวิชาเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นนี้ ผมต้องทำให้เด็กที่มาเรียนรู้สึกสนุกและเข้าใจเศรษฐศาสตร์ เหมือนอย่างที่ผมสนุกและเข้าใจตอนเรียนวิชาที่อเมริกาตัวนี้
ว่าแล้วผมก็เตรียมการสอนโดยหมายมั่นว่าจะต้องมีอะไรแปลกใหม่ มีเรื่องที่น่าสนใจ ที่สนุกๆและได้ประโยชน์
ผมลองเปลี่ยน outline ของตัวคอร์สไปบ้างนิดหน่อย แต่ก็รู้ว่าคงเปลี่ยนอะไรมากไม่ได้ เพราะ outline ดังกล่าวต้องใช้ร่วมกับอาจารย์ผู้สอนท่านอื่นๆอีกหลายคน ที่ร่วมทีมสอนด้วยกัน (คือที่คณะผมมีระบบการสอนแบบที่แยกห้องสอน แต่ต้องมาสอบรวมกัน ก็เลยต้องบังคับให้ทุกห้องใช้ outline เดียวกัน)
พอมาประชุมเรื่อง outline กับผู้สอนคนอื่นๆครั้งแรก ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรรุนแรงเกินไป เนื่องจากผมพยายามผลัก outline อย่างที่ผมร่างมาให้กลายมาเป็น outline ของคนอื่นๆไปด้วย ก็ไปนั่งเถียงๆๆ โอ๊ะ ไม่ใช่ ไปนั่งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่นาน (โดยที่ผมเป็นเถียง) กว่าจะหาจุดลงเอยกันได้
ผมก็เกรงๆอาจารย์ท่านอื่นๆโดยเฉพาะที่อาวุโสกว่าผมเยอะอยู่เหมือนกัน เพราะผมเองก็เด็กแสนเด็ก จบมาก็แค่ปริญญาตรี (วุฒิต่ำที่สุดของคณะ) แต่ดันไปนั่งขัดกะเขาอยู่นาน
แค่ outline ก็เริ่มเหนื่อยแล้ว แถมยังเริ่มรู้สึกอยู่ลึกๆว่ากลายเป็นคนก้าวร้าวไปพอควร โดยเฉพาะกับมาตรฐานแบบไทยๆ
.............................................
ถึงวันสอนจริง พอเข้าไปสอนครั้งแรกก็อึ้งไปพอควรกับขนาดและสภาพอันทรุดโทรมของห้องบรรยาย
คือจำนวนนักเรียนเนี่ย ผมก็พอรู้อยู่แล้วว่ามันเยอะมากๆ คือประมาณร้อยห้าสิบคน
แต่พอมาเจอสภาพห้องเข้าไป ก็พอรู้เลยว่างานนี้หินแน่ๆ เพราะห้องบรรยายที่ได้นั้น เป็นห้องที่ไม่เหมาะกับการบรรยายเอาเสียเลย แสงทึมๆ จอprojectorไม่ค่อยชัด เขียนกระดานไม่ได้ เพราะไม่มีกระดาน ต้องใช้เครื่องฉายแผ่นใสแทน ซึ่งผมเองแพ้ทางเอามากๆ เนื่องจากเป็นคนลายมือเหมาะสำหรับเขียนความลับ (คือเขียนอะไรอ่านรู้เรื่องอยู่คนเดียว พูดง่ายๆ ลายมือห่วยสุดๆ)นอกจากนี้ไมโครโฟนที่มีให้ใช้นั้น สายไมค์มันสั้นมากครับ คือเดินไปไหนไม่ได้เลยนอกจากรอบๆโต๊ะสำหรับอาจารย์หน้าห้อง
จริงๆแล้วที่อยากได้มากกว่าน่าจะเป็นห้องเล็กๆ นักศึกษาประมาณห้าสิบคน สอนไปคุยไป แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ถามได้ตลอดเวลา
ลองเอากรณีศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ที่ทำมาให้นักศึกษาเล่นดู กะว่าจะดึงความสนใจมาได้บ้าง ปรากฏว่าปฏิกริยาตอบรับเกือบเป็นศูนย์ เพราะห้องใหญ่เกินไป ไม่มีใครกล้าแสดงออกเท่าไหร่ ก็เลยต้องชงเอง เล่นเอง ขำเอง อยู่คนเดียวหน้าห้อง
กลับมาจากสอนครั้งแรกก็รู้สึกหนักใจเหมือนกัน คิดว่าคงต้องปรับสไตล์บ้าง ที่เตรียมแบบเล่นสนุกๆไว้คงใช้ไม่ได้ทั้งหมด
ตอนแรกๆที่สอนนี่ เป็นโรควิตกจริตมากเลยครับ คือ คืนก่อนวันสอนผมจะทบทวนทุกอย่างที่จะทำการสอนแบบคำต่อคำเลย พอตอนนอนก็จะเจอแต่เรื่องที่จะสอนวนไปวนมาในหัวในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ยิ่งตอนแรกๆจะกลัวตื่นไม่ทันเลยต้องไปนอนที่หอพักที่รังสิต ก็จะนอนไม่ค่อยหลับในบางครั้งเพราะจะไปเจอห้องที่ฝุ่นเยอะๆ (ผมเป็นโรคภูมิแพ้)
ตอนสอนครั้งแรกๆก็คงดูเกร็งๆมั้งครับ ก็พยายามหามุขไปเล่นอยู่เรื่อยๆ แต่รู้สึกว่าจะฝืด นักศึกษาก็ไม่ค่อยฮาเท่าไหร่ (อย่าเข้าใจผิดว่าผมไปเล่นตลกคาเฟ่นะครับ) แต่จะว่าไปก็เป็นช่วงที่ตื่นเต้นดีนะครับ เพราะเวลาจะสอนทีเนี่ยก็จะกลัวอธิบายไม่รู้เรื่อง
แต่ก็โชคดีที่มีบุญเก่าให้กินพอควร คือผมเองเคยไปช่วย อ.ปกป้อง กับ อ.วรากรณ์ สอนเด็กมัธยมปลายที่วชิราวุธ ก็เลยซึมซับเทคนิคการสอนมาบ้าง รวมถึงเคยเป็นติวเตอร์ให้เด็กภาคภาษาอังกฤษมาตั้งปี ด้วยมีประสบการณ์มาบ้างก็เลยพอเอาตัวรอดได้ครับ
ผ่านไปซักสามสี่ครั้งก็เริ่มเข้าที่ครับ เริ่มปรับตัวให้เข้ากับสภาพได้ แล้วก็เริ่มสื่อสารกับนักศึกษาได้มากขึ้น ได้รับปฎิกริยาตอบรับมากขึ้น
ก็เป็นช่วงเวลาที่สนุกดีครับ มีความสุขเวลาเตรียมสอน ได้นั่งนึกว่าจะอธิบายเรื่องนั้นเรื่องนี้ยังไงให้น่าสนใจ บางครั้งก็หาอะไรเล่นในห้องบ้าง ผมว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่สนุกตื่นเต้นที่สุดเลย นั่งนับเวลารอว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาสอน
จะมีรู้สึกอึดอัดบ้างนิดหน่อยก็ตอนคุยกับนักศึกษาบางครั้ง คือผมเองจะถามนักศึกษาที่เรียนด้วยหลายคน ว่าที่สอนไปเป็นยังไงบ้าง รู้เรื่องไหม อยากให้ปรับตรงไหนบ้าง บางครั้งพอถามไปก็เจอคำตอบแปลกๆกลับมา เช่น อาจารย์สอนให้คิดมากเกินไป ไม่สอนให้จำไปเลยง่ายดี ผมก็เก็บมางงๆ แล้วก็เศร้ากับระบบการศึกษาไทยเล็กน้อย
แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมากครับ ก็พยายามสอนต่อไป เข้าใจว่าช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่สอนได้ดีพอควร เพราะเป็นเนื้อหาที่ตัวเองชอบตอนเรียนด้วย ก็จะพยายามหาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาเล่าให้นักศึกษาฟัง
เวลาผ่านไปเร็วเอามากๆ แบบไม่นานก็ถึงสอบกลางภาคแล้ว
ทีนี้เจอปัญหาแรกเลยครับ คือผมสอนไม่ทันเนื้อหาที่จะสอบกลางภาค ก็พยายามจะหาทางสอนเพิ่ม แต่ก็มีข้อขัดข้องบางประการ ทำให้พาลต้องมีความขัดแย้งกันไปนิดหน่อยกับอาจารย์ท่านอื่น ช่วงนี้ก็เครียดครับ แต่สุดท้ายก็ได้ทางออกและก็สอนได้ทันจนได้
.........................................
พอหลังสอบกลางภาคเสร็จ ก็มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีเกิดขึ้นครับ
คือด้วยความที่ตั้งใจสอนมากตอนก่อนสอบมั้งครับ จำนวนนักศึกษาที่มาเข้าเรียนก็เลยเพิ่มขึ้น ก็มีย้ายมาจากห้องอื่นบ้างพอควร นักศึกษาบางครั้งก็เต็มห้องเลยครับ แบบโดนเขียนในใบประเมินว่าที่นั่งไม่พอ ฮะแฮ่ม เรตติ้งดีครับ
แต่ว่า ไอ้มาเรียนเนี่ยก็ดีครับ แต่มันมาแล้วไม่เรียนนี่สิครับ คงเพราะเพิ่งสอบเสร็จ พวกพี่แกก็เลยรู้สึกสบายใจ พอเข้ามาเสร็จก็คุยเลยซะงั้น โถ่
เสียงคุยก็เลยดังเอามากๆครับ น่าแปลกที่ช่วงก่อนสอบกลางภาคผมไม่เจอปัญหานี้เลย มาเจอเอาหลังสอบกลางภาค
ประกอบกับช่วงหลังสอบกลางภาคเนี่ย สุขภาพย่ำแย่ครับ เป็นหวัดไม่หายซักที สาเหตุก็เนื่องมาจากดันไปเที่ยวกินเหล้าเมายามาซะเยอะ แถมยังไปพยายามพาคนดีไปเข้าสู่อบายมุขอีก พระเจ้าเลยลงโทษครับ
เวลาสอนเงี้ย คอเจ็บสุดๆ พูดไปก็เจ็บคอเหลือเกิน เจ็บไปถึงหน้าอกท่อนบนเลยครับ
แต่ก็ดีไปอย่างนะครับ คือตอนแรกๆเนี่ย ผมจะโดนวิจารณ์ว่าใช้เสียงไม่เป็น คือเนื่องจากห้องมันทึมๆและมันดูดเสียง ก็จะพยายามพูดเสียงดังเข้าไว้ เลยไม่มีจังหวะในการพูดที่นุ่มนวล (คำวิจารณ์โดยนักร้องหนุ่มที่เป็นอาจารย์ เอ๊ะไม่ใช่!.. อาจารย์ที่เป็นนักร้องหนุ่มที่คณะครับ) แต่พอเป็นหวัดแล้วไม่มีแรงพูดดังๆครับ ก็เลยทำให้เป็นธรรมชาติในการพูดมากขึ้นมั้งครับ
ที่แย่ๆตอนนี้คือนักศึกษาคุยโคตรเก่งเลยครับ ผมก็ไม่มีแรงพูดแข่ง เล่นเอาฟิวส์ขาดไปวันนึงครับ ก็เลยด่าซะหนึ่งชุด ปรากฏว่าเงียบกริบเลย ผมเองวันนั้นเป็นอะไรก็ไม่รู้ครับ รู้สึกเหมือนวันนั้นของเดือน มันหงุดหงิดๆสุดๆ พอดียิ่งเจอนักศึกษาที่เคยบอกเราไว้ว่าจะไม่เข้าเรียนเพราะเรียนมาแล้ว ดันเข้ามานั่งเล่น มาคุยกับเพื่อนอยู่ต่อหน้าต่อตาที่หน้าห้อง ก็เลยหลุดเลย เกิดมาไม่เคยด่าใครเป็นชุดๆ ก็เลยได้ลองครั้งแรกเลยครับ
พอว่าไปเสร็จก็มารู้สึกเสียใจทีหลังเหมือนกัน ก็รู้สึกว่าคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
แต่ก็ดีนิดหน่อยครับ คือหลังจากนั้นเวลาผมเริ่มบ่นว่าเสียงดังเขาก็จะเงียบครับ แม้ไม่นานก็จะกลับมาดังใหม่ก็เหอะ แต่ก็ยังกลัวๆบ้าง
โอ้ที่น่าดีใจอีกเรื่องคือ ผลประเมินการสอนตอนกลางภาคเนี่ยค่อนข้างดีมากครับ ก็รู้สึกมีกำลังใจอยากตั้งใจสอนให้ดีๆต่อไปครับ
.............................................
ก็สอนๆไปจนเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายๆ ซึ่งเป็นช่วงของเนื้อหาวิชาที่เป็นเศรษฐศาสตร์มหภาค
ถึงตอนนี้ผมก็จะพยายามเล่าเรื่องเศรษฐกิจไทยให้มากๆ ก็จะโยงไปเข้าเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองค่อนข้างเยอะครับ
จริงๆช่วงนี้อยากให้จำนวนนักศึกษามันน้อยกว่านั้นมากเลยครับ เพราะมีเรื่องอยากชวนคุยเยอะแยะไปหมด ผมเองก็อยากได้ความคิดเห็นจากนักศึกษาน่ะครับ แต่ด้วยสภาพห้องอย่างที่บอกไป เวลาสอนก็เลยได้แต่เล่าให้เขาฟังอยู่ฝ่ายเดียว เวลาถามก็ต้องขอคำตอบเป็นใช่กับไม่ใช่ ถ้าใช่ให้พยักหน้า อะไรประมาณนั้น
มาถึงช่วงนี้ก็สอนไม่ทันอีกแล้วครับ
ผมเองเป็นอะไรก็ไม่รู้ อาจารย์ผู้ใหญ่เขามักจะเล่าให้ฟังว่า สอนครั้งแรกเนี่ย มักจะสอนเสร็จก่อนเวลา พูดไปไม่นานก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ที่เตรียมมาหมดแล้ว แต่เวลายังเหลือ แต่กับผมเนี่ยตรงข้ามเลยครับ ไม่เคยสอนได้ทันที่เตรียมมาเลย ก็คงเป็นความสามารถในการโม้มันพาไปมั้งครับ เลยพูดได้น้ำไหล ไฟดับ เด็กหลับ เฮ้ย ไม่หลับครับไม่หลับ ตั้งแต่แรก
เนื่องจากเวลาที่มีอยู่ไม่พอก็เลยอดสอนบางเรื่องที่อยากสอนไปครับ แต่ก็ยังดีที่เข็นจนทันเนื้อหาที่ต้องสอบทันจนได้
วันสุดท้ายที่สอนก็รู้สึกดีครับ จริงๆกะจะพูดอะไรซึ้งๆก่อนปิดคอร์สซะหน่อย แต่พูดไปพูดมามันดันออกขำๆน่ะครับ ก็แบบว่ากะจะบอกเขาว่าที่เรามาสอนเนี่ย เราอยากจะทำให้เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจสำหรับพวกเขานะ เอ แต่พูดไปพูดมามันกลายเป็นฮาๆไป
สอนจบก็ไม่มีเสียงปรบมืออะไรให้ได้ยิน (อย่างที่เคยฝัน) แต่ผมก็รู้สึกดีนะครับ คือผมรู้สึกได้ว่ามันมีความสุขอยู่ในตัวเองน่ะครับ มีความสุขที่ได้ทำอะไรดีๆให้กับคนอื่น ได้ทุ่มเทเต็มที่ที่จะถ่ายทอดวิชาความรู้ และก็ความรักในวิชาที่เราเลือกเป็นทางเดินให้กับชีวิตตัวเองให้กับนักศึกษาครับ
ก็คงเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่จะได้สอน เพราะเดี๋ยวเทอมหน้าก็ไม่ต้องสอนแล้วเนื่องจากคณะให้เตรียมตัวไปเรียนต่อ (ได้ที่เรียนเรียบร้อยแล้วล่ะครับ)
.............................................
มานั่งนึกย้อนไปแล้ว ผมรู้สึกดีใจครับที่ตัดสินใจมาเป็นอาจารย์
เคยถามตัวเองในช่วงก่อนที่จะตัดสินใจเหมือนกันครับ ว่าจะตัดสินใจถูกเหรอ จะมีความสุขกับงานที่เงินเดือนก็ไม่เยอะ แถมยังค่อนข้างจะโดดเดี่ยว (แบบไม่ได้ทำงานกับคนอื่นๆมากมาย เหมือนเวลาอยู่บริษัท)
มาคราวนี้ล่ะครับ รู้สึกว่ามันมีความสุขดีจริงๆ เวลาที่ได้สอน ได้พยายามถ่ายทอดความรู้
นอกจากนี้ก็ยังรู้สึกภูมิใจอยู่ลึกครับ ว่าเราได้ช่วยให้มาตรฐานการสอนของวิชานี้มันดีขึ้นมาบ้าง จากที่นักศึกษาเคยบ่นว่าน่าเบื่อและยาก มาตอนนี้ก็มีมาคุยว่าเขาสนใจเศรษฐศาสตร์ และก็อยากต่อโทเป็นวิชาเศรษฐศาสตร์อยู่เยอะทีเดียว
ที่ต้องชื่นชมก็คือทีมงานอาจารย์ที่สอนวิชานี้ด้วยกัน ที่เป็นอาจารย์ใหม่อยู่เยอะทีเดียว หลายๆคนก็ทุ่มเทมากๆเลยครับ ทำให้นักศึกษาเขารู้สึกว่าอาจารย์ต่างก็เต็มที่ในการสอนกันทุกคน อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่าคงไม่มีใครกล้าว่าว่าวิชานี้อาจารย์ไม่ตั้งใจสอนล่ะครับ (ยกว้นบางห้องนะครับ ที่ยังคงมาตรฐานเดิมอยู่)
ก็หวังเต็มที่ครับ ว่าวันข้างหน้าหลังจากที่เรียนจบแล้วจะได้กลับมาสอน มาถ่ายทอดวิชาความรู้ที่มีให้กับคนรุ่นต่อไป
วันนี้ผมเองก็ยังถือว่ารู้น้อยครับ ยังไม่มีอะไรจะไปถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ๆได้มากมาย แต่อย่างน้อยสิ่งที่ได้รู้จากการได้สอนเต็มๆคอร์สครั้งแรกนี้ ก็คงจะเป็นความสุขที่เกิดขึ้นเวลามามองย้อนกลับไปมั้งครับ ผมว่าความรู้สึกแบบนี้ล่ะครับ ที่เป็นแรงผลักดันของชีวิตคนเป็นอาจารย์ทุกคน ความรู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ได้ช่วยสร้างอะไรบางอย่างที่ดีให้เกิดขึ้นกับสังคม
เอ่อ เขียนมาซะยาวเชียว เดี๋ยวขอไปทำงานก่อนดีกว่าครับ ตอนนี้จะสลัดความขี้เกียจออกจากตัวเองแล้วล่ะครับ
แล้วจะกลับมาเขียนต่อเร็วๆนี้นะครับ
Monday, April 10, 2006
Subscribe to:
Posts (Atom)